Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ Secure Sandbox Mode บน Windows Defender ซึ่งเป็นโปรแกรม Antivirus พื้นฐานสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows เพื่อป้องกันตัวเองถูกแฮ็กแล้วอาจนำไปสู่การเข้าควบคุมเครื่องต่อไปได้ นับว่าเป็นโปรแกรม Antivirus รายแรกๆ ที่นำเสนอการรันภายใต้สภาวะแวดล้อมแบบ Sandboxing
Sandboxing เป็นกระบวนการรันแอปพลิเคชันภายใต้สภาวะแวดล้อมจำลองที่แยกขาดออกมาจากระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันอื่นๆ บนคอมพิวเตอร์ ถ้าแอปพลิเคชันใน Sandbox ถูกแฮ็กหรือถูกโจมตี เทคนิคดังกล่าวๆ จะช่วยกักกันความเสียหายไม่ให้แพร่กระจายออกไปยังระบบคอมพิวเตอร์ส่วนอื่นๆ
เนื่องจากซอฟต์แวร์ Antivirus และ Anti-malware ส่วนใหญ่มักถูกรันด้วยสิทธิ์การใช้งานสูงสุดเพื่อให้สามารถสแกนหามัลแวร์ในทุกๆ ส่วนของระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำให้ช่วงหลังมานี้ซอฟต์แวร์ Antivirus โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Windows Defender จึงมักตกเป็นเป้าหมายของแฮ็กเกอร์ในการเจาะช่องโหว่เพื่อเข้าควบคุมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เสียเอง
ด้วยเหตุนี้ Microsoft จึงประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Sandbox Mode สำหรับ Windows Defender ส่งผลให้ถ้าซอฟต์แวร์ดังกล่าวถูกแฮ็กเกอร์หรือมัลแวร์โจมตีช่องโหว่และเข้าควบคุมได้สำเร็จ ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะไม่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม การทำ Sandboxing โปรแกรม Windows Defender นี้อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้งานบ้าง แต่ก็ถือเป็นก้าวเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยให้แก่วงการ Endpoint Security
Sandbox Mode บน Windows Defender พร้อมใช้งานบน Windows 10 เวอร์ชัน 1703 (หรือที่รู้จักกันในนาม Creators Update) เป็นต้นไป แต่ฟีเจอร์ดังกล่าวไม่ได้เปิดใช้งานมาตั้งแต่โรงงาน ผู้ใช้สามารเปิดใช้งานด้วยตนเองได้ ดังนี้
- กดปุ่ม Start และ Search หา “CMD” หรือ “Command Prompt”
- คลิกขวาแล้วเลือก “Run as administrator”
- พิมพ์คำสั่ง “setx /M MP_FORCE_USE_SANDBOX 1” แล้วกด Enter
- รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์
ที่มา: https://thehackernews.com/2018/10/windows-defender-antivirus-sandbox.html