IBM Flashsystem

[รีวิว] TP-Link OMADA EAP773 – Wi-Fi 7 AP สุดแรงสำหรับธุรกิจ

Wi-Fi 7 ถือเป็นมาตรฐานสัญญาณไร้สายล่าสุดที่กำลังทยอยเปิดตัวเข้าสู่ท้องตลาด โดยในบทความนี้ TechTalkThai จะขออาสาพาทุกท่านไปรู้จักกับ Access Point จาก TP-Link OMADA EAP773 ซึ่งออกแบบมาสำหรับธุรกิจ ด้วยการรองรับ Wi-Fi 7 จึงสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้แรงสุดๆ ประกอบกับเทคโนโลยี SDN ที่ช่วยให้แอดมินขององค์กรสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้จาก Cloud เนื้อหาจะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันได้เลยครับ

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงรีวิวจริงในส่วนนี้เราลองมาไล่เรียงดูสเป็คที่เอกสารจาก TP-Link ระบุไว้กันก่อนว่า OMADA EAP773 ทำอะไรได้บ้าง

1.) การเชื่อมต่อทางกายภาพ

ฮาร์ดแวร์ของ OMADA ให้พอร์ตการเชื่อมต่อที่มีความแรงถึง 10 GbE ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการรองรับมาตรฐาน Wi-Fi 7 ทำให้อัตราการส่งแตะถึงระดับนั้นได้จนต้องมีพอร์ตที่รองรับ เพราะ AP รุ่นก่อนที่ไม่ได้รองรับถึง Wi-Fi 7 อาจมีพอร์ตเพียง 1 GbE หรือ 5 GbE ด้วยความเร็วระดับนี้การถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ภายในองค์กรจะรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และถ้าอินเทอร์เน็ตของท่านแรงเพียงพอ การใช้งานอินเทอร์เน็ตของท่านจะเปลี่ยนไปกว่าที่เคยเป็นมา

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจคือโหมด PoE ที่ทำให้สะดวกมากกว่าแต่ก็ยังรองรับการจ่ายไฟจากแหล่งจ่าย DC เช่นกัน ทั้งนี้ในเอกสารยังพูดถึงระบบจัดการพลังงานที่ขึ้นกับการเปิดใช้ฟังก์ชันต่างๆด้วย โดยหากเปิดใช้แบบเต็มประสิทธิภาพจะใช้พลังงานสูงสุดราว 25.94 วัตต์และต่ำสุดที่ 10.1 วัตต์เมื่อปิดสัญญาณวิทยุ ทำงานเพียงแค่ชิปและการเชื่อมต่อ LAN

2.) การติดตั้งและขนาดของอุปกรณ์

ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์กับกำแพงหรือเพดานได้อย่างปลอดภัยโดยมาพร้อมกับชุดอุปกรณ์ที่จำเป็นในการติดตั้งแล้ว ทั้งนี้ตัว Access Point มีขนาดเพียง 22 x 22 x 3.25 เซนติเมตรเท่านั้น

3.) ความสามารถของสัญญาณ

เมื่อพูดถึง Access Point อีกหนึ่งสเป็คที่ธุรกิจคาดหวังอย่างจดจ่อก็คือความครอบคลุมของระยะสัญญาณ และจำนวนการเชื่อมต่อพร้อมกัน สบายใจได้เลยเพราะ EAP773 ให้ความครอบคลุมได้ถึง 140 ตารางเมตร และในแต่ละย่านความถี่รองรับการเชื่อมต่อได้ถึง 128 Concurrent

อย่างไรก็ดี Wi-Fi 7 มีทางเลือกความถี่ของสัญญาณถึง 3 ช่องทางคือ 2.4/5/6 GHz ด้วยเสาขนาด 3.0 dBi ให้มาถึง 6 เสา ทำให้ตอบสนองความเร็วรวมกันทุกความถี่ได้ถึง 10 Gbps

4.) ฟังก์ชันของสัญญาณไร้สาย

ในด้านของเทคนิคในการจัดการสัญญาณและช่องทางปฏิบัติการกับสัญญาณนั้นมีมากมาย โดยมีทั้งความสามารถที่มีอยู่ใน Wi-Fi 6 และ Wi-Fi 7 เช่น 4K-QAM, MU-MIMO, Multi-link Operation(MLO)

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันอื่นๆ อย่างน่าสนใจ เช่น Band Steering, Beamforming, Airtime fairness, จัดการได้สูงสุด 24 SSID, QoS, Rate limit, BBS Coloring, Mac Authentication, Mesh Mode และการตั้งตารางการปล่อยสัญญาณ

5.) ฟังก์ชันด้านความมั่นคงปลอดภัย

WPA3 ถือเป็นไฮไลต์ที่มาตั้งแต่ Wi-Fi 6 โดยที่ผ่านมา WPA2 เริ่มมีข้อกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง EAP773 สามารถรองรับความปลอดภัย WPA3-Personal/Enterprise ได้  นอกจากนี้ยังสามารถตอบโจทย์เรื่องการทำ Captive Portal ได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงฟังก์ชันพื้นฐานอย่าง Access Control, MAC Filter, VLAN, Wireless Isolation และ Rouge AP Detection

6.) การบริหารจัดการ

รองรับการบริหารจัดการได้ทั้ง Cloud Controller, Hardware Controller. Software Controller และ Standalone ด้วยเทคโนโลยี SDN ทำให้แม้ที่ธุรกิจที่ไม่ได้มีทีมงานไอทีก็สามารถนำ OMADA EAP773 ไปใช้งานได้ง่ายๆ ผ่านเว็บอินเทอร์เฟสหรือแอปพลิเคชันมือถือ

เมื่อเปิดกล่องออกมาเราจะพบกับอุปกรณ์ AP รูปทรงวงกลมสวยเรียบดูมินิมอล ซึ่งประทับตราโลโก้ tp-link ในวงกลมที่ต่างระดับกลางอุปกรณ์ เมื่อยกอุปกรณ์ขึ้นจะพบว่าขนาดของ AP มีความกะทัดรัด โดยเฉพาะความสูงที่บางเบาสมกับความเป็น AP สำหรับธุรกิจที่ดูเนียนตามากขึ้นเหมาะกับใช้ในอาคารสำนักงานเป็นอย่างยิ่ง

ด้านบนของอุปกรณ์จะมีไฟแสดงสัญญาณให้ได้ทราบสถานะต่างๆ อย่างน้อยที่สุดเมื่อมีไฟก็มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์พร้อมทำงาน ดังนี้

  • ไฟสีฟ้า – อุปกรณ์ทำงานปกติ หรืออยู่ในสถานะเริ่มต้น
  • ไม่มีไฟขึ้น – มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่มีไฟเข้า หรือ LED ถูกปิดอยู่
  • การกระพริบ – กระพริบทุกวินาทีหมายถึงการอัปเกรต แต่หากถี่มากแสดงว่าถูกรีเซ็ต หรือกำลังถูกระบุตัวโดย Controller หากกระพริบช้าแสดงว่า AP อยู่ในสถานะถูกแยกอยู่ (isolate)

เมื่อพลิกดูใต้อุปกรณ์ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถยึดติดกับพนังได้อย่างแข็งแรงและจะเห็นถึงดีไซน์ด้านหลัง ถัดมาจะพบกับโมดูลอินเทอร์เฟสของสาย PoE 10 Gbps หัวเสียบไฟ 12V DC จากภายนอก และปุ่มกดเพื่อรีเซ็ตอุปกรณ์ที่ต้องกดค้าง 5 วินาทีเพื่อคืนค่าจากโรงงาน

ภายใต้อุปกรณ์จะมีคู่มือ 2 ฉบับ คือคู่มือการติดตั้งตัวฮาร์ดแวร์ในเรื่องของการเจาะยึดติด(มีอุปกรณ์มาให้ไม่ต้องซื้อเพิ่ม) อีกฉบับคือคู่มือการใช้งานเบื้องต้น อย่างไรก็ดีในชุดอุปกรณ์จะไม่มี adaptor มาให้

การเปิดใช้งานนั้นผู้ใช้งานสามารถเลือก deploy ใช้งานอุปกรณ์ได้ 2 รูปแบบใหญ่ๆ โดยในโหมด Standalone นั้นเหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่มีจำนวนไม่มาก ต้องการจัดการอุปกรณ์แยกขาดจากกัน ไม่จำเป็นต้องทำ Policy ควบคุมมากนัก ซึ่งเมนูการใช้งานนั้นแตกต่างกับการทำงานในรูปแบบ Controller พอสมควร โดยเราจะสาธิตวิธีการทั้งสองรูปแบบ

1.) Standalone

วิธีการนี้สามารถนำได้ง่ายที่สุด ซึ่ง AP ที่มีการตั้งค่าจากโรงงานเมื่อเปิดใช้จะเห็น default SSID ที่ไม่ติดรหัสผ่าน จากนั้นเมื่อเชื่อมต่อแล้วผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้าคอนฟิคได้ผ่าน URLs http://tplinkeap.net รหัสผ่าน admin/admin

รูปภาพ – Default SSID (ค่าจากโรงงาน)

เมนูของโหมด Standalone (เข้าถึงโดยตรงผ่านอุปกรณ์) ผู้ใช้จะพบกับ 4 เมนูหลักคือ

  • status – แสดงผลการทำงานของระบบต่างๆ ประกอบด้วย ข้อมูลของตัวอุปกรณ์ AP การตั้งค่าเครือข่ายไร้สายที่อยู่บนอุปกรณ์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อใช้งาน
  • Wireless – เป็นฟังก์ชันการตั้งค่าสัญญาณไร้สายทั้งหมด เช่น SSID และคุณสมบัติของสัญญาณ ความมั่นคงปลอดภัย การตั้งตารางทำงาน การควบคุมประสิทธิภาพ และ Rouge AP
  • Management – เป็นการจัดการเกี่ยวกับอุปกรณ์ว่าผู้ดูแลจะเข้าถึงได้ช่องทางไหนอย่างไร Log และการตั้งค่าประหยัดพลังงาน
  • System – เป็นเมนูของการตั้งค่าบัญชีผู้ดูแลระบบ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ สั่งปิด/รีบูตอยู่การ จัดการคอนฟิค เวลา และการตั้งค่าเชื่อมต่อกับ Controller

    หากพูดถึงการใช้งานทางธุรกิจแน่นอนว่าสเกลของการใช้งานอาจขยายเพิ่มขึ้นตามจำนวนของผู้ใช้และพื้นที่เช่น อาคารสำนักงานหลายชั้น หรือ ออฟฟิศที่มีพื้นที่กว้างขวาง รวมไปถึงจำนวนอุปกรณ์ของพนักงานและลูกค้าที่ต้องเข้ามาใช้ในสำนักงาน นอกจากนี้ธุรกิจอาจมีสาขามากกว่า 1 แห่งด้วย โดยความต้องการเหล่านี้ทำให้ธุรกิจควรมีระบบควบคุมกลางที่ทำให้การจัดการเกิดขึ้นได้อย่างมืออาชีพ

    สำหรับการ deploy ใช้งาน EAP773 ในโหมด Controller ผู้ใช้งานสามารถทำได้ 3 ช่องทางคือ

    เครดิต : TP-Link OMADA

    1.) Cloud Controller เป็นการเชื่อมต่อ AP เข้ากับบัญชีคลาวด์ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการจากที่ใดก็ได้ ซึ่งส่วนนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมของ License อย่างไรก็ดีแม้จะไม่มี License เราก็สามารถใช้งานความสามารถของคลาวด์เพื่อจัดการ Controller ประเภทอื่นได้ โดยสามารถเข้าชมได้ที่ https://omada.tplinkcloud.com (ต้องสมัครบัญชี TP-Link ID ก่อน โดยทำได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)

    2.) Software Controller เป็นการติดตั้ง Agent ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งเพื่อทำหน้าเป็นเซิร์ฟเวอร์ควบคุม AP หรืออุปกรณ์อื่นของ TP Link เช่น Switch และ Router โดยเมื่อติดตั้งแล้วท่านสามารถเข้าจัดการอุปกรณ์ได้ผ่าน https://localhost:8043/

    3.) Hardware Controller เป็นสินค้าฮาร์ดแวร์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับควบคุมอุปกณ์ AP หรืออุปกรณ์อื่นของ TP Link

    โดยวิธีการที่เราจะสาธิตต่อไปนี้เป็นการติดตั้ง Software Controller และเชื่อมต่อเข้ากับบัญชีของ Cloud Controller ด้วย ซึ่งจะทำให้เราสามารถจัดการอุปกรณ์ได้ทั้งหน้า localhost และ omada.tplinkcloud.com นั่นเอง ซึ่งมีความสามารถไม่แตกต่างกัน แต่ในทางปฏิบัตินั่นหมายถึงการใช้งานได้จากทุกที่ทุกเวลานั่นเอง

    ขั้นตอนการติดตั้ง มีดังนี้

    1. สมัครบัญชี TP-Link และให้สามารถเข้าใช้งานบัญชี omada.tplinkcloud.com ได้
    2. ติดตั้ง Agent ของ Controller ลงเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านได้ที่ https://www.tp-link.com/support/download/omada-software-controller/
    3. โดยเมื่อเปิดใช้โปรแกรม Software Controller ครั้งแรกจะถามถึงการเชื่อมโยงเข้ากับบัญชี Cloud ที่สมัครไว้ก่อนหน้าโดยอัตโนมัติ และเมื่อเข้าในหน้าแรกแล้วจะมี Wizard เพื่อช่วยตั้งค่า (ตามรูป) ซึ่งในขั้นตอนปลีกย่อยเราสามารถกดข้ามได้

    4. เมื่อเข้าสู่หน้าแรกนั้น หากท่านมีการเสียบ AP ในวงเครือข่ายที่ Software Controller ไปถึงได้ ในหน้าเมนูอุปกรณ์ท่านจะพบกับอุปกรณ์ที่รอการเชื่อมต่อ (ตามภาพด้านล่าง)

    5. อย่างไรก็ดีการจะเริ่มงานได้นั้น เราต้องสร้างไซต์ขึ้นมาก่อนซึ่งเป็นคอนเซปต์ของการบริหารจัดการภาพใหญ่สำหรับองค์กรที่มีระบบระเบียบเป็นชั้นย่อยลงไป ทำให้ง่ายต่อการตั้งค่าโครงสร้างไซต์ หรือคอนฟิคอุปกรณ์จำนวนมากในไซต์งานได้พร้อมกัน โดยเมื่อเรียบร้อยดีแล้วในหน้า dashboard จะแสดงรายละเอียดไซต์, switch, AP, client และการแจ้งเตือน

    6. เมื่อสร้างไซต์เสร็จแล้ว สามารถกด Adopt อุปกรณ์ได้ทันทีใน Unknown Devices

    7. โดยอุปกรณ์จะสามารถตั้งค่าได้ผ่านการกดเข้าไปในรายชื่อไซต์ ณ หน้า dashboard แรก และเข้าไปที่ Setting ที่อยู่มุมซ้ายล่างหน้าจอ (รูปเฟือง)

    จากขั้นตอนที่ผ่านมาเราทราบถึงวิธีการตั้งค่าอุปกรณ์ระดับไซต์แล้ว แต่แน่นอนว่าในทางปฏิบัติของธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น ท่านอาจมี Controller ได้มากกว่า 1 ตัวหรือ 1 ประเภทผสมผสานกัน ซึ่งการใช้ Cloud จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้แก่การทำงานได้มากกว่า ดังนั้นเราท่านสามารถล็อกอินเข้าสู่ tp-link cloud และจะพบกับหน้าเมนูตามด้านล่าง กล่าวคือเป็นมุมมองของการจัดการแบบองค์รวมอย่างมืออาชีพนั่นเอง โดยในที่นี้เราจะเลือกเข้าจัดการ Software Controller ผ่าน Cloud ได้แล้วที่เมนู Action > Launch

    Wi-Fi 7 มีฟีเจอร์ใหม่ๆหลายรายการที่ทำให้สัญญาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในจำนวนนี้อาจเป็นเทคนิคด้านล่างภายใต้ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่ไม่ปรากฏต่อสายตาได้ แต่สิ่งที่เห็นได้จากเมนูการตั้งค่าคือ

    • ความกว้างของความถึ่ที่ทำได้ถึง 320 MHz เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 6
    • Multi-Link Operation (MLO) ช่วยให้อุปกรณ์เชื่อมต่อหนึ่งตัวสามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับ AP หนึ่งผ่านหลายคลื่นความถี่และช่องสัญญาณพร้อมกัน ทำให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด

    ทั้งสองฟีเจอร์ข้างต้นเป็นการการันตีว่า EAP773 เป็น AP ที่มีฟังก์ชันด้าน Wi-Fi 7 แล้วอย่างแน่นอน แต่อันที่จริงคุณสมบัติของ Wi-Fi 7 ยังมีอีกหลายรายการ เช่น

    • Multi-RU & Preamble Puncturing ที่ช่วยในความยืดหยุ่นด้านการจัดสรรสเปกตรัม
    • 4K-QAM ที่อัดแน่นให้มีจำนวนบิตในการส่งในแต่ละช่วงสัญญาณทำได้มากขึ้นที่ 12 บิต(Wi-Fi 6 10 บิต) ช่วยการรับชมสื่อความละเอียดสูง เกมออนไลน์ที่มีความละเอียดมาก
    • MU-MIMO 16×16 เพิ่มความสามารถเรื่องของจำนวนอุปกรณ์ที่ AP สามารถส่งข้อมูลไปหาได้บนย่านความถี่เดียวกัน ซึ่งเป็น 2 เท่าของ Wi-Fi 6

    การใช้งานเชิงธุรกิจมักมีพูดถึงจำนวนของ AP มากกว่า 1 ตัว ซึ่งการมี Controller จะช่วยในเชิงของการบริหารจัดการเป็นอย่างมาก ที่เหนือกว่าการจัดการในโหมด Standalone ยกตัวอย่างเช่น

    1.) สามารถสร้าง SSID ได้หลายย่านความถี่พร้อมๆกัน ซึ่งเทียบกับโหมด Standalone จะต้องสร้างตามย่านความถี่

    2.) มีฟังก์ชันพื้นฐานที่สามารถจัดการได้ในหน้าบริหารจัดการเดียว เช่น Guest Network และที่สำคัญยังรองรับการเข้ารหัส WPA3 ที่เริ่มต้นใน Wi-Fi 6

    3.) มองคอนเซปต์รูปแบบการจัดการในลักษณะโปรไฟล์ ซึ่งแนวคิดเชิงไอเดียนี้ทำให้การจัดการตอบโจทย์ระดับองค์กรเป็นอย่างมาก ที่มีการแยกโปรไฟล์ของสภาพกิจกรรมออกไปจัดการในอีกเมนู เช่น ช่วงเวลา, Rate Limit, RADIUS, LDAP, กลุ่มตาม L2/L3/L4 และอื่นๆ แล้วค่อยนำโปรไฟล์เหล่านี้มาเปิดใช้กับการคอนฟิคอีกที

    แนวคิดเชิงการจัดการแบบโปรไฟล์ยังอยู่ในส่วนของ WLAN เช่นกัน โดยสามารถสร้างกลุ่มของ WLAN ที่มี SSID ต่างกันออกไป แล้วค่อยนำไป Apply เปิดใช้กับตัวอุปกรณ์ ตรงนี้เองเพิ่มความยืดหยุ่นมากกว่าการสร้าง SSID ตามอุปกรณ์อย่างมาก ตอบโจทย์องค์กรใหญ่ที่ AP อาจอยู่คนละสาขา หรือมีเงื่อนไขบางอย่างทำให้มีผู้ใช้ต่างกัน

    4.) Captive Portal เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่หลายองค์กรมองหา ซึ่งจุดเด่นของการตั้งค่าผ่าน Controller นั้น เราพบว่ามีทางเลือกสำหรับวิธีการพิสูจน์ตัวตนที่หลายหลายทั้ง รหัสผ่านทั่วไป, Hotspot, Radius, LDAP และ Portal Server

    ในโหมดของ Hotspot สามารถสร้างแบบฟอร์มและการลงทะเบียนผ่าน SMS ได้ด้วย ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจที่อาจให้ลูกค้ามีการลงทะเบียนด้วยตนเอง

    อย่างไรก็ดีในส่วนของการปรับแต่ง Portal ยังสามารถแสดงรายละเอียดได้ลึกกว่าการปรับแต่งผ่านตัวอุปกรณ์ AP อย่างเห็นได้ชัด ทั้งสี รูป ธีม ขนาดตัวอักษร ส่วนแจ้งระเบียบการให้บริการ เป็นต้น

    ยกตัวอย่าง การตั้งค่าด้วย Simple Password ผู้ใช้สามารถตั้งค่าเพื่อ Redirect ให้ผู้เข้าใจไปสู่หน้าแรกเพื่อกรอกรหัสผ่าน โดยสามารถปรับแต่งหน้าบริการได้ตามต้องการ

    ประสบการณ์การใช้งานจริงในหน้า Captive Portal ผ่าน Controller

    ประสบการณ์ใช้งาน Captive Portal บนตัวอุปกรณ์

    ทั้งสองรูปแบบสามารถ Redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ปลายทางที่ต้องการได้ทั้งคู่

    ในการรีวิวครั้งนี้คงผู้อ่านคงได้เห็นแล้วว่า OMADA EAP773 มาพร้อมกับความสามารถของ Wi-Fi 7 อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นการวางแผนเพื่ออนาคตที่อุปกรณ์จะเริ่มรองรับมาตรฐานนี้มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้เรายังได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการ deploy ใช้งานในหลายๆรูปแบบ 

    อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงการใช้เชิงธุรกิจที่มีความซับซ้อนของโครงสร้างและความต้องการสูง การใช้งานในโหมด Controller เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผู้ใช้งาน TP-Link OMADA EAP773 หรือผลิตภัณฑ์ของ TP-Link นั้นไม่ต้องจ่ายเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยี SDN ให้สามารถจัดการได้จากทุกที่ ดูแลอุปกรณ์ได้อย่างครบวงจร เริ่มต้นการทำงานได้ง่ายๆ

    โดยการแยกส่วนควบคุมเชิงลอจิกและฮาร์ดแวร์ทำให้ผู้ใช้งานมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง เพียงแค่เปิดใช้อุปกรณ์เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็สามารถรับ Policy ได้ทันที ไม่เพียงเท่านั้นหน้า Captive Portal ยังสามารถปรับแต่งในเชิงลึกตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจขององค์กรได้อย่างครอบคลุม

    ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ TP-Link Omada EAP773  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tp-link.com/th/business-networking/omada-wifi-wifi7/eap773

    About nattakon

    จบการศึกษา ปริญญาตรีและโท สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ KMITL เคยทำงานด้าน Engineer/Presale ดูแลผลิตภัณฑ์ด้าน Network Security และ Public Cloud ในประเทศ ปัจจุบันเป็นนักเขียน Full-time ที่ TechTalkThai

    Check Also

    ปลดล็อกทุกขีดจำกัดของข้อมูล Hybrid Multicloud ด้วยสถาปัตยกรรมใหม่จาก Nutanix AOS

    แผนของ Hybrid Multicloud ในทางปฏิบัตินั้นยังมีความท้าทายอยู่ไม่น้อย ในประเด็นด้านการบูรณาการของเครื่องมือและข้อมูล โดยการออกแบบแอปพลิเคชันสมัยใหม่ควรให้ความสำคัญในเรื่องของ Cloud native ที่ถูกบริหารจัดการด้วย Kubernetes แต่ในชีวิตจริงการย้ายข้อมูลข้ามไปยังคลาวด์หรือ On-premise ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเช่นนั้น เพราะขาดซึ่งแพลตฟอร์มข้อมูลกลางที่ยึดโยงข้อมูลเข้ากับแอปพลิเคชันอย่างแท้จริง นั่นจึงนำไปสู่การเปิดตัวสถาปัตยกรรมด้านสตอเรจใหม่จาก …

    ขอเชิญร่วมงานสัมมนา Microsoft Azure “Migrate to Innovate: Be AI-Ready and secure your IT foundation” [4 มิ.ย. 2568 — 9.00น.]

    Metro Systems Corporation ร่วมกับ Microsoft ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาในหัวข้อ “Migrate to Innovate: Be AI-Ready and secure your IT …