
Pacific Tech ได้ประกาศเปิดตัว 3 พันธมิตรใหม่ที่จะช่วยให้ตนสามารถขยายบริการครอบคลุมการทำงานขององค์กรได้ในมิติต่างๆ ผ่านงานสัมมนาภายใต้ธีม “Power UP Your IT” โดยในงานนี้ได้มีพาร์ทเนอร์ผู้สนใจต่างให้ความสนใจเข้าร่วมด้วย ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสเข้าร่วมในการบรรยายครั้งนี้เราจึงขอสรุปสาระสำคัญภายในงานมาให้ได้ติดตามกันอีกครั้งครับ

“ในยุคที่องค์กรต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆรอบด้าน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม บริษัทแปซิฟิคเทคมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอโซลูชันใหม่ เพื่อเสริมความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีสำหรับองค์กร โดยแบรนด์เหล่านี้มีความเข้มแข็งในตลาดอยู่แล้ว ซึ่งเรามองเห็นโอกาสที่จะนำส่งผลิตภัณฑ์คุณภาพเหล่านี้ให้แก่ทุกองค์กรได้นำไปใช้ ขอให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทแปซิฟิคเทค พร้อมให้คำปรึกษาและนำส่งบริการคุณภาพแก่ทุกองค์กร รวมถึงการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้สนใจทุกท่านให้สำเร็จไปด้วยกัน” นี่คือใจความสำคัญจากผู้บริหารของแปซิฟิคเทค คุณ JK Tan, Country Director จาก Pacific Tech กล่าวเปิดงาน เพื่อตอกย้ำถึงจุดยืนที่ Pacific Tech ต้องการนำเสนอแก่ตลาด
ninjaOne พร้อมจัดการทุก Endpoint รองรับทุกความต้องการได้ด้วยแพลตฟอร์มเดียว

ninjaOne เริ่มต้นนำเสนอโซลูชันแก่ตลาดครั้งแรกในมุมของ Endpoint Management ราวปี 2013 โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่รัฐแคลิฟอเนียของสหรัฐฯ มาถึงวันนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยได้รับการยกย่องจากการจัดอันดับของ G2 ถึงความเป็นเลิศในความสามารถด้านต่างๆ เช่น Remote Monitoring Management(RMM), Endpoint Management, Patch Management, IT Asset Management, Network Monitoring, Remote Support, PC Backup และ Unified Endpoint Management รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ากว่า 17,000 รายทั่วโลก
แพลตฟอร์มของ ninjaOne มุ่งเน้นความง่ายในการใช้งาน ผ่าน UI ที่เข้าใจได้ง่ายเพียงแค่เห็นก็เริ่มต้นได้ทันที นอกจากนี้ให้เลือกให้บริการผ่านคลาวด์ยังทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ไม่ต้องดูแลฮาร์ดแวร์ ที่สำคัญยังขยายตัวรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด
แนวคิดของ ninjaOne มีลักษณะแบ่งสัดส่วนเป็นโมดูลสำหรับฟีเจอร์ต่างๆ ซึ่งจากภาพด้านบน อธิบายได้ว่าแพลตฟอร์มมีโมดูลหลัก 4 หน้าที่ ดังนี้
1.) Patch Management – ติดตามแพตช์ระบบอย่างครบวงจร ซึ่งมี Dashboard คอยรายงานสรุปภาพรวมแพตช์ของเครื่อง Endpoint ซึ่งครอบคลุมทั้งระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน โดยสามารถเก็บ Log และการแจ้งเตือนกิจกรรมการแพตช์ กลไกอนุมัติการแพตช์ เครื่องมือช่วยแก้ปัญหาหลังแพตช์ และระบบตั้งเวลาเพื่อรีบูตเครื่องได้
2.) Software Deployment – งานการติดตั้งและติดตามซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรก็เป็นเรื่องน่าปวดหัวไม่น้อย โดย ninjaOne ช่วยให้แอดมินติดตั้งซอฟต์แวร์บนเครื่องจำนวนมากได้ในไม่กี่คลิก นอกจากนี้ยังเปิดให้องค์กรสามารถเลือกแอปพลิเคชันเองได้ ตลอดจนการติดตั้งแอปพลิเคชันให้สอดคล้องกับแต่ละ Endpoint ซึ่งโซลูชันจาก ninjaOne สามารถรองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมได้หลายร้อยตัว ทั้ง Windows, macOS และ Linux
3.) Monitoring & Alert – การจะจัดการสินทรัพย์ใดๆได้ต้องเริ่มจากการมองเห็นเสียก่อน ซึ่ง ninjaOne สามารถรู้จักกับ Endpoint ในระดับองค์กรได้ทั้ง Windows, macOS, Linux, Hyper-V, VMware และอุปกรณ์เครือข่ายผ่านทาง SNMP รวมถึงเครื่องบนคลาวด์ได้ และเมื่อไม่นานมานี้พวกเขาเพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ Mobile Device management (MDM) ที่รองรับการบริหารจัดการอุปกรณ์มือถือได้ทั้ง iOS และ Android
4.) Scripting & Automation – มีหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวันของแอดมินระบบที่ต้องอาศัยการปรับแต่งอย่างพิเศษ ซึ่ง ninjaOne ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานเช่นนั้นได้ เช่น การจัดการ Antivirus, Backup และ การตั้งกำหนดการงานในช่วงเวลาต่างๆที่อาจต้องทำนอกเวลาทำการ
ไม่เพียงแค่ความสามารถหลักข้างต้นเท่านั้น แต่ ninjaOne ยังได้นำเสนอในความสามารถด้าน Remote Access และ Backup ที่แอดมินระดับองค์กรมักมองหาด้วยในแพลตฟอร์มเดียว รวมถึงเชื่อมต่อการทำงานด้าน EDR จากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเช่น SentinelOne, bitdefender และอื่นๆได้ โดยเครื่องมือของ ninjaOne ยังได้เปิดกว้างสำหรับการใช้งานในลักษณะ managed service provider(MSP) ที่สามารถแบ่ง tenant และเพิ่มโลโก้เป็นของตนเองได้ด้วย
นอกจากนี้ ninjaOne ยังได้นำเสนอการเทรนนิ่งฟรี การ Onboard เพื่อเริ่มต้นไปจนถึงดูแลหลังการขาย ที่โดยปกติแล้วโซลูชันทั่วไปมักนับเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เรียกได้ว่าเป็นโซลูชันที่ครอบคลุมครบเครื่องและคุ้มค่าอย่างแท้จริง
พัฒนาอินเทอร์เน็ตให้ดียิ่งขึ้นด้วย Cloudflare

Cloudflare เป็นองค์กรที่ต้องการพัฒนาคุณภาพและความมั่นคงปลอดภัยให้โครงข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งพวกเขาได้ให้บริการโครงข่ายที่เร็วและปลอดภัย โดยมีการจัดตั้ง point of presence (PoPs) ไว้ทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ ใน 320 เมือง สำหรับประเทศไทยเองถือเป็นยุทธภูมิสำคัญที่ Cloudflare ได้สร้างความร่วมมือกับ ISPs ต่างๆ เพื่อให้บริการ PoPs ถึง 9 แห่งทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน Cloudflare ในขยายบริการไปมากกว่าแค่มุมมองของการเชื่อมต่อเท่านั้น โดยสามารถแบ่งบริการเป็น 4 ประเภท คือ
1.) Application Services – DNS, SSL/TLS, Rate Limiting, Load Balancing, Bot Management, Log & Analytics, CDN, Web/API Firewall และ L7 DDoS Protection
2.) Zero Trust Services – ZTNA, Secure Web Gateway(SWG), Cloud Access Security Broker(CASB), Remote Browser Isolation(RBI), Data Loss Prevention(DLP) และ Integrated Cloud Email Security
3.) Developer Services – Workers, Worker KV, Pages, Durable Objects, Images, R2 Storage, Waiting Room, Cloudflare AI และ Live & On-demand Video Stream
4.) Network Service – Smart Routing, FWaaS, IDs/IPS, L3/L4 DDos Protection, WANaaS และ Network Interconnect
ไอเดียสำคัญเริ่มต้นมาจากการที่พวกเขาได้ให้บริการรับผิดชอบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตขององค์กรต่างๆ ซึ่งทำให้สามารถยกระดับการให้บริการเกี่ยวกับที่ทราฟฟิคได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มุมมองในด้านประสิทธิภาพ ความมั่นคงปลอดภัย รวมไปถึงการนำโหนดเหล่านี้มาให้บริการเรื่องการประมวลผลระดับ Edge ที่ช่วยทำหน้าฟังก์ชันบางอย่างในโจทย์ต่างๆได้ แน่นอนว่าปัจจุบันเครือข่ายของ Cloudflare ได้กลายเป็นผู้นำรายหนึ่งในระดับโลกที่พวกเขารับผิดชอบทราฟฟิคอยู่ราว 20% เลยทีเดียว
กล่าวได้ว่าอินเทอร์เน็ตคือทางเชื่อมต่อเข้าสู่ทุกการทำงานโดยเฉพาะการทำงานแบบรีโมตที่องค์กรเปิดกว้างมากขึ้นหลังยุคโรคระบาดผ่านพ้นไป จะเห็นได้ว่า Cloudflare ได้บูรณาการฟังก์ชันมากมายข้างต้นนี้ไว้ให้องค์กรเข้าถึงได้แบบรวมศูนย์ผ่านแพลตฟอร์มเดียว
BlueCat ติดอาวุธให้การปฏิบัติการด้าน Infrastructure ด้วย AI

BlueCat ถือกำเนิดจากโซลูชันเรือธงที่เรียกว่า Enterprise DDI (ย่อมาจาก DNS, DHCP และ IP Address Management) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วองค์กรมักมีการจัดตั้งบริการเหล่านี้อยู่แล้ว แต่อาจมีการทับซ้อนและใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เช่น กรณีการจัดการ IP ในรูปแบบ Static และ DHCP ที่มีโอกาสชนกัน นอกจากนี้ DNS ก็ยังเป็นบริการสำคัญที่ต้องเปิดไว้เสมอเพื่อให้บริการแอปพลิเคชันและอินเทอร์เน็ต
Micetro คือโซลูชันเรือธงนั้นที่นำเสนอการรวมศูนย์การบริหารจัดการระบบ DDI ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบ On-premise หรือ Public Cloud ก็ตาม ซึ่งโซลูชันของพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งฮาร์ดแวร์ และไม่ต้องรบกวนให้องค์กรทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งนี้ Micetro จะช่วยให้องค์กรมองเห็นสภาพแวดล้อมของระบบ IP Address เพื่อบังคับใช้ Policy ได้อย่างมั่นใจ ตลอดจนการสร้าง Workflow เพื่อทำให้การปฏิบัติการเป็นไปตามกระบวนการ ไม่เพียงเท่านั้น BlueCat ยังมี API สำหรับการทำงานเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ตลอดจนรองรับการทำ Infrastructure as a Code ผ่าน Terraform หรือ Ansible เพื่อสร้างวงจรการทำงานแบบอัตโนมัติได้
อย่างไรก็ดีสารประกาศที่น่าสนใจกว่าในหัวข้อนี้ก็คือการที่พวกเขาประกาศตัวว่าไม่ได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญในด้านโซลูชัน DDI เท่านั้น เพราะปัจจุบัน BlueCat ได้มีการให้บริการครอบคลุมไปถึงโซลูชัน Network Observability ที่เป็นการยกระดับการติดตามในลักษณะแบบเชิงรุก ด้วยการพุ่งเป้าค้นหาและแก้ไขปัญหาได้ก่อนเกิดเหตุ ผ่านการพิจารณาข้อมูลเมทริกซ์ Log และการตั้งค่าอุปกรณ์ ร่วมกับความรู้เฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญ กลายเป็นโมเดลด้าน AI ที่คอยตรวจจับปัญหาได้อย่างแม่นยำ
“อุปกรณ์ Firewall ที่คอยป้องกันให้ระบบอื่นก็มีช่องโหว่ในตัวเองได้ ซึ่งหากไม่มีใครบอก คุณมักไม่รู้ตัวเลย” — คุณ Mr. Muhammad Heidir, Technical Sales, BlueCat กล่าวในช่วงหนึ่งของการบรรยาย ซึ่งนี่เป็นไอเดียหนึ่งที่เขายกตัวอย่างให้เห็นว่าอันที่จริงแล้วในเครือข่ายองค์กรยังต้องสอดส่องตัวอุปกรณ์อย่างครอบคลุม ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์ที่คอยป้องกันเสียเอง โดยแนวทางคือ BCIA สามารถดูแลอุปกรณ์ระดับองค์กรได้อย่างครอบคลุมได้ทั้ง Firewall, Network และ Web Application โดยรองรับอุปกรณ์แบรนด์ต่างๆได้มากมาย เช่น Cisco, Fortinet, Check Point, Palo Alto Networks, F5 และ Gigamon
ความสามารถจากโมเดล AI ที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ผู้ใช้งาน BCIA สามารถขจัดปัญหาที่มักเป็นสาเหตุในเครือข่ายได้เช่น การตั้งค่าที่ไม่ทั่วถึงกัน ข้อผิดพลาดจากบุคคล การตั้งค่าที่ผิดพลาด ความผิดปกติที่อาจเกิดจากผู้ไม่หวังดี ที่ระบบจะคอยติดตามเหตุเหล่านี้แบบเชิงรุก จากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุต้นตอ พร้อมกับคำแนะนำเพื่อแก้ไขตาม Best Practice และมีการทดสอบให้มั่นใจ
ท่านใดสนใจโซลูชัน NinjaOne, BlueCat และ Cloudflare ในฐานะ Value Added Distributor ทีมงาน Pacific Tech มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้คำปรึกษาและนำเสนอบริการต่างๆ เพื่อให้ท่านสามารถเตรียมพร้อมระบบไอทีให้รับมือได้กับสถานการณ์ต่างๆ ดังเช่นธีมของงานสัมมนา ‘Power UP Your IT’ ที่จัดขึ้นในครั้งนี้
ผู้สนใจสามารถติดต่อทีมงาน Pacific Tech ได้ที่
อีเมล sales.thai@pacifictech.com.sg
โทรศัพท์ +662 1293963
Facebook : https://www.facebook.com/pacifictechthailand/
เว็บไซต์ : https://pacifictech.com.sg/