Oracle Exadata Cloud at Customer – On-premises Cloud ที่ดีที่สุดสำหรับ Oracle Database และ AI/ML Workload

ระบบฐานข้อมูลยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “แหล่งน้ำมันสมัยใหม่” หลายองค์กรเริ่มจัดเก็บข้อมูลหลากหลายรูปแบบนอกจาก Relational Data มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการประมวลผลข้อมูล เมื่อฐานข้อมูลมีหลากหลายรูปแบบ ย่อมต้องการผู้ดูแลที่มีทักษะ ทั้งยังมีเรื่องอธิปไตยของข้อมูล Oracle จึงนำเสนอแนวคิด “Converged Database” ที่รองรับ Data Model ได้ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ รวมไปถึงเปิดให้บริการ Exadata Cloud at Customer ที่ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ฮาร์ดแวร์ที่ดีที่สุดสำหรับ Oracle Database ในรูปแบบของ Cloud ได้ภายใน Data Center ของตนเอง

การพัฒนาแอปพลิเคชันยุคใหม่ผสมผสาน Data Model หลากหลายรูปแบบ

การพัฒนาแอปพลิเคชันในปัจจุบัน นอกจากจะไม่ได้ยึดติดกับ Relational Data แบบสมัยก่อนแล้ว ยังมีการใช้ Data Model หลากหลายรูปเพื่อเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการประมวลผล ไม่ว่าจะเป็น Spatial Data สำหรับทำ Location Awareness, JSON สำหรับใช้จัดเก็บข้อมูลเอกสาร, Graph สำหรับทำ Social Networking, Key-Value Data สำหรับอุปกรณ์ IoT และข้อมูลที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน (Unstructured Data) เป็นต้น จากแอปพลิเคชันก็มีการผสมผสานหลาย Data Model เข้าด้วยกัน ทำให้ต้องใช้ระบบฐานข้อมูลหลายแบบจากหลายๆ ค่ายซึ่งใช้เทคโนโลยีแตกต่างกัน ส่งผลให้ต้องใช้ผู้ดูแลหลายคน หลายทักษะในการบริหารจัดการและดูแลระบบฐานข้อมูล

เพื่อลดความยุ่งยากและความซับซ้อนในการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูล Oracle ในฐานะผู้ให้บริการระบบจัดการฐานข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก เลยรวมระบบฐานข้อมูลที่ใช้ Data Model หลายๆ แบบเข้าด้วยกันไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน กลายเป็นระบบฐานข้อมูลที่เรียกว่า “Converged Database” ที่จัดการและดูแลได้ง่ายกว่า

ระบบฐานข้อมูลแบบใหม่ภายใต้แนวคิด “Converged Database”

Oracle Database เวอร์ชันล่าสุดถูกออกแบบมาให้นอกจากจะรองรับ Relational Data แบบดั้งเดิมแล้ว ยังสามารถรองรับ Data Model และประมวลผล Workload สมัยใหม่อย่าง Spatial Data, JSON, Graph Data, Key-value Data, Blockchain, IoT, Analytics และ Machine Learning ได้อีกด้วย ตอบโจทย์การพัฒนาแอปพลิเคชันในปัจจุบันที่ใช้หลักการ Microservices, Events, REST, SaaS หรือ CI/CD

ด้วยแนวคิดเรื่องการผสาน Data Model และ Workload ประเภทต่างๆ ทั้งสมัยใหม่และสมัยเก่าเข้าด้วยกันภายในระบบฐานข้อมูลเดียว ก่อให้เกิดเป็น “Converged Database” ทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการ Data Model และ Workload ทั้งหมดได้ภายใต้ระบบ Oracle Database เพียงระบบเดียว ลดความยุ่งยากเรื่องการจัดการและดูแลระบบจัดเก็บข้อมูลที่แยกจากกันหลายๆ ระบบซึ่งอาจมีปัญหาเรื่องการผสานการทำงานร่วมกันหรือปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัยตามมา

จุดเด่นสำคัญอีกอย่างของแนวคิด Converged Database คือ การทำงานร่วมกันระหว่างแต่ละ Data Model และ Workload ได้สะดวกและรวดเร็ว เช่น กรณีที่มี Machine Learning และ Spatial Data ใน Oracle Database องค์กรสามารถทำ Predictive Analytics บน Spatial Data นั้นๆ ได้ทันที

เริ่มใช้เทคโนโลยี Machine Learning กว่า 30 แบบบนฐานข้อมูลได้ฟรีทันที

Oracle Database มาพร้อมเทคโนโลยี Machine Learning สำหรับใช้งานบนฐานข้อมูลได้ฟรี โดยใช้แนวคิดการนำอัลกอริธึมที่มีให้เลือกมากกว่า 30 รูปแบบไปใช้งานบน Oracle Database โดยตรง ลดเวลาที่สูญเสียไปในการโยกย้ายข้อมูลโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งยังช่วยรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และเพิ่มความเร็วในการสร้างโมเดลอีกด้วย นอกจากนี้ Oracle Machine Learning ยังมี API สำหรับผสานการทำงานร่วมกับ SQL, R และ Python (เร็วๆ นี้) สำหรับการพัฒนาโปรเจ็กต์ Data Science ขนาดใหญ่ซึ่งรองรับทั้งการใช้งานแบบ On-premises และบน Cloud

และด้วยแนวคิด Multi-model, Converged Database ของ Oracle ที่รองรับการจัดเก็บข้อมูลหลายๆ ประเภทและหลายๆ โมเดลไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ทำให้สามารถเรียกใช้อัลกอริธึม Machine Learning บนข้อมูลเหล่านั้นทั้งหมดได้ทันที ลดความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายในการสร้างและบริหารจัดการฐานข้อมูลสำหรับใช้กับแต่ละฟังก์ชันการวิเคราะห์

ปัจจุบันนี้ Oracle Machine Learning มีอัลกอริธึมให้เลือกให้งานได้ฟรีมากกว่า 30 แบบ เช่น Regression, Classification, Time Series, Clustering, Feature Extraction, Anomaly Detection เป็นต้น

Oracle Exadata Cloud at Customer – Converged Infrastructure ในรูปของ On-premises Cloud ที่ดีที่สุดสำหรับ Oracle Converged Database และ AI/ML Workload

แม้ว่า Oracle Database จะเป็นซอฟต์แวร์ทางด้านการบริหารจัดการฐานข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับ Mission & Business Critical Applications เนื่องจากมีฟีเจอร์ครบครัน ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และมีความเสถียรมากที่สุดในโลก แต่ด้วยความต้องการด้านประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น การพึ่งพาแต่เพียงซอฟต์แวร์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป นอกจากนี้ หลายองค์กรเริ่มอยากหันไปใช้ Cloud Database เนื่องจากต้องการความยืดหยุ่นและความสามารถในขยายระบบออกไปได้อย่างอิสระโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนฮาร์ดแวร์หรือเตรียม License ล่วงหน้าโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะติดข้อจำกัดเรื่อง Regulation Compliance

ด้วยเหตุนี้ Oracle จึงได้ผสานรวม Oracle Exadata ระบบ Converged Infrastructure ที่ถูกออกแบบมาด้วยนวัตกรรมเชิงวิศวกรรมสำหรับทำงานร่วมกับ Oracle Converged Database ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เข้าด้วยกันกับ Oracle Cloud at Customer กลายเป็น Oracle Exadata Cloud at Customer ช่วยให้ลูกค้าสามารถนำ Oracle Exadata ในรูปแบบของ Cloud Service มาติดตั้งและทำงานภายใน Data Center ของตนเอง รองรับการใช้งานทั้งในรูปของ Database as a Service และ Autonomous Database โดยยังคงมีโมเดลการคิดค่าบริการเหมือนการใช้ Public Cloud ปกติ ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการใช้ Cloud Database สมรรถนะสูงและเคร่งครัดเรื่อง Regulations หรือห้ามนำข้อมูลออกนอก Data Center

คุณสมบัติเด่นของ Oracle Exadata Cloud at Customer ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Oracle Converged Database ได้แก่

  • Exadata Smart Scan Model: ประมวลผล SQL Query ในระดับ Storage แทนที่จะเป็น Database Server เพื่อเพิ่มความเร็วในการ Query ข้อมูลและลดภาระการทำงานของ Database Server
  • Persistent Memory: หน่วยจัดเก็บข้อมูลใหม่ที่ Oracle นำเข้ามาใช้บน Storage Server มีความเร็วเทียบเคียง DRAM แต่บันทึกข้อมูลได้แบบถาวรเหมือน Flash Storage ลด Latency ในการ Query ข้อมูลลงได้มากกว่า 50 เท่าเมื่อเทียบกับ Flash Block Storage บน AWS หรือ Azure
  • Elastic Scaling: ปรับแต่งการใช้งานทั้ง CPU, Memory และ Storage ได้อิสระอย่างแท้จริง และเพิ่มหรือลดการใช้งานภายหลังได้ทันทีผ่านฟีเจอร์ Auto-scaling

ฟีเจอร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยครบครันทั้งระดับ Cloud และ Database

นอกจากการทำงานในรูปแบบของ Cloud บน Data Center ของตนเองซึ่งทำให้เกิดอธิปไตยของข้อมูลแล้ว Oracle Exadata Cloud at Customer ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลแบบครบครัน โดยในระดับ Database นั้น Oracle Database มีกลไกการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เรียกว่า Database Defense In-depth ซึ่งประกอบด้วย การเข้ารหัสข้อมูล การพิสูจน์ตัวตน การกำหนดสิทธิ์ การติดตามการใช้งาน การเฝ้าระวังและป้องกันภัยคุกคาม การวางรูปแบบการตั้งค่าให้มั่นคงปลอดภัย และการปิดบังข้อมูล (Data Masking) เพื่อให้มั่นใจว่า การเข้าถึงระบบฐานข้อมูลและตัวข้อมูลจะมีทั้งความมั่นคงปลอดภัยและความเป็นส่วนบุคคล

ในระดับ Cloud นั้น Oracle Exadata Cloud at Customer มีกลไกการรักษาความมั่นคงปลอดภัยครอบคลุมตามที่แสดงในภาพด้านล่าง รวมไปถึงมีการเพิ่ม 2 ฟีเจอร์ใหม่เข้าไปในระบบ Cloud เวอร์ชันล่าสุด (Gen 2) ได้แก่

  • Cloud Guard: ทำหน้าที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังการตั้งค่าของผู้ใช้บริการ Oracle Cloud Infrastructure ว่ามีมาตรการควบคุมด้านความมั่นคงปลอดภัยที่รัดกุมเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบไม่มีช่องโหว่ให้ถูกโจมตี ในกรณีที่ค้นพบช่องโหว่ เทคโนโลยี Machine Learning ของ Cloud Guard จะดำเนินแก้ไขการตั้งค่าเพื่อปิดช่องโหว่ให้อัตโนมัติ
  • Maximum Security Zones: เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของ Infrastructure ที่ถูกระบุให้มีการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเป็นพิเศษ ผู้ใช้บริการสามารถกำหนดได้เองว่าจะให้ระบบหรือทรัพยากรใดของตนอยู่ภายใต้พื้นที่นี้บ้าง ภายในพื้นที่นี้ การดำเนินการต่างๆ บน Control Plane จะถูกวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการกระทำใดๆ ที่ลดระดับการมั่นคงปลอดภัยลง แก้ปัญหาเรื่องการตั้งค่าผิดพลาดจนนำไปสู่การถูกโจมตีหรือข้อมูลรั่วไหลสู่สาธารณะดังที่เกิดขึ้นบ่อยกับผู้ใช้บริการ Public Cloud

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

Google Cloud เพิ่ม BigQuery datasets บน Marketplace แล้ว

Google Cloud ประกาศเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงชุดข้อมูล BigQuery datasets ผ่าน Google Cloud Marketplace ด้วยการผสานการทำงานร่วมกับ BigQuery Analytics Hub เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลสำหรับองค์กร

Goldman Sachs คาดการณ์การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าภายในปี 2030 เหตุจาก AI

การแข่งขันด้าน AI ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดย Goldman Sachs คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 55 GW เป็น 122 GW ภายในปี 2030