ทางนักวิเคราะห์จาก NASDAQ มีบทวิเคราะห์น่าสนใจเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้กับธุรกิจบัตรเครดิตที่จะกลายเป็นสิ่งที่ทุกรายต้องทำเพื่อแข่งขันกัน และผู้ให้บริการ 3 รายใหญ่เองก็เริ่มออกมาขยับตัวกันแล้ว ทางทีมงาน TechTalkThai มองว่าเป็นความรู้ที่น่าสนใจกันดี จึงขอนำมาสรุปเอาไว้ที่นี้นะครับ

ภาพรวมของวงการบัตรเครดิตทั่วโลก
อ้างอิงจากรายงานของ RBR เมื่อมี 2015 นั้น ตลาดบัตรเครดิตทั่วโลกมีส่วนแบ่งดังนี้
- 37% UnionPay
- 32% Visa
- 20% MasterCard
สามรายนี้มีส่วนแบ่งตลาดรวมกัน 89% และมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 22 ล้านล้านเหรียญหรือราวๆ 770 ล้านบาท โดย UnionPay นี้มีส่วนแบ่งตลาดภายนอกประเทศจีนเพียงแค่ 1% เท่านั้น ในขณะที่ Visa มี 50% และ MasterCard มี 31%
ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เหล่าธุรกิจบัตรเครดิตต้องออกมาสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ กันนั้นก็คือการมาของ BitCoin ที่ทำให้การซื้อขายสินค้าต่างๆ สามารถทำได้โดยมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับบัตรเครดิต ซึ่งถึงแม้การนำ BitCoin มาใช้จะยังคงมีปัญหาหลายๆ ประการในหลายๆ ประเทศ แต่การขยับตัวของเหล่าธุรกิจบัตรเครดิตเพื่อปกป้องส่วนแบ่งตลาดของตนเองเอาไว้ก็ถือเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างมากในเวลานี้
UnionPay จับมือ IBM เชื่อมระบบสะสมแต้มจากทุกธนาคารเอาไว้ด้วยกัน
UnionPay จากจีนนั้นเลือกที่จะแก้ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของวงการอย่างระบบสะสมแต้มของแต่ละบัตรในแต่ละธนาคาร ที่ไม่สามารถโอนข้ามระหว่างกันได้ โดย UnionPay ได้จับมือกับ IBM เพื่อพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี Blockchain สำหรับเป็นตัวกลางในการแลกแต้มที่สะสมในบัตรของแต่ละธนาคารเพื่อให้ลูกค้าสามารถนำแต้มมาใช้ได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 นาทีในการเลือกโอนแต้มและรับรางวัลต่างๆ ทำให้ลูกค้ามีอิสระที่จะเลือกประเภทบัตรและธนาคารที่จะใช้งานได้ ตราบใดที่ยังคงเป็นบัตรของ UnionPay อยู่
Visa เน้นการใช้ Blockchain ในตลาดกลุ่มองค์กรและธนาคาร
Visa นั้นได้จับมือกับ Chain Core ระบบ Blockchain Infrasstructure สำหรับองค์กรเพื่อพัฒนาระบบ Visa B2B Connect ที่เน้นเจาะตลาดกลุ่มองค์กรที่มีสาขาอยู่ในหลายๆ ประเทศ และใช้ในการทำธุรกรรมหรือโอนเงินขนาดใหญ่ข้ามประเทศเป็นหลักได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และโปร่งใส โดยคาดว่าโครงการนี้จะเริ่มเปิดตัวให้ใช้งานจริงกันได้ในช่วงปลายปี 2017
อีกโครงการของทาง Visa ที่ได้ทดสอบไปในช่วงต้นปี 2016 ก็คือการจับมือกับ BLT เพื่อใช้ Blockchain ในการทดสอบการโอนเงินข้ามประเทศและข้ามสกุลเงินระหว่างธนาคารในประเทศแถบยุโรป เพื่อศึกษาร่วมกันว่าสำหรับการโอนเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราในลักษณะนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ ในปี 2015 ที่ผ่านมา Visa ก็ได้มีการจับมือกับ Epyphyte เพื่อทดลองพัฒนาโซลูชันพื้นฐานอย่างการใช้ Blockchain เพื่อโอนเงินข้ามชาติในกรณีการใช้งานทั่วๆ ไป
MasterCard เตรียมใช้ Blockchain เป็นเทคโนโลยีหลักสำหรับการทำธุรกรรม
MasterCard นั้นได้พัฒนา Blockchain API ขึ้นมาด้วยกัน 2 ชุด ได้แก่ Blockchain Core API และ Smart Contracts API เพื่อให้เหล่านักพัฒนาสามารถนำไปใช้งานได้ในการทำธุรกรรมต่างๆ บน Blockchain Infrastructure ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมนั้นมีทั้งความเร็ว, ความโปร่งใส และความปลอดภัย
ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2015 ที่ผ่านมาทาง MasterCard เองก็ได้ร่วมลงทุนในการก่อตั้งกลุ่ม Digital Currency Group (DCG) ร่วมกับเหล่าผู้ให้บริการทางการเงินและ BitCoin รายอื่น เพื่อผลักดันการนำ Blockchain ไปใช้ในวงการการเงินในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้นด้วย