IBM Flashsystem

ย้ายระบบขึ้น AWS เหนือไปอีกขั้น ด้วยการประยุกต์ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและประหยัดค่าใช้จ่าย กับ DailiTech

แม้ว่า Cloud จะเทคโนโลยีที่สำคัญในการทำ Digital Transformation ที่สนับสนุนให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ถ้าหากย้ายระบบมาใช้งานบน Cloud แบบย้ายที่ย้ายโฮสต์ (Rehost) หรือแบบยกแล้วย้าย (Lift and Shift) เฉย ๆ ก็อาจจะทำให้องค์กรต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าที่ควรจะเป็น จนบางครั้งอาจแพงกว่าการใช้งานแบบเดิมด้วยซ้ำ

จากงาน AWS Summit Bangkok 2025 ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล Managing Director แห่งบริษัท DailiTech ที่ได้รับรางวัล Partner of the year Thailand จาก AWS 3 ปีซ้อน ได้ขึ้นบรรยายในเซสชัน “Maximising AWS Cloud Economics: Beyond legacy migration to application modernisation” ได้ชี้ให้เห็นแนวทางในการย้ายระบบขึ้น AWS ได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงในขณะที่ประสิทธิภาพอาจเทียบเท่าหรือดีกว่าเดิมด้วย แนวทางจาก DailiTech มีอะไรบ้างที่องค์กรเอาไปประยุกต์ใช้ได้ ติดตามได้ในบทความนี้

ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล Managing Director แห่งบริษัท DailiTech

การปรับปรุงระบบต่าง ๆ ขององค์กรให้ทันสมัย (Modernization) คือสิ่งที่ทุกองค์กรล้วนต้องพิจารณาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ประกอบกับสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ และภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่าง ๆ จะยิ่งทำให้ระบบองค์กรต้องยิ่งเร่งเพิ่มประสิทธิภาพ ศักยภาพ ความมั่นคงปลอดภัย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายอยู่ในจุดที่สมเหตุสมผลที่สุด

และหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่องค์กรควรพิจารณาปรับใช้บริการ Cloud ของ Amazon Web Services (AWS) เพื่อให้ระบบองค์กรมีความทันสมัย นั่นคือ AWS มี AWS Thailand Region เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมายความว่าทาง AWS ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน Data Center ไว้ภายในประเทศไทยที่พร้อมสนับสนุนบริการองค์กรในไทยได้อย่างมั่นใจ 

การมี Region ในประเทศไทย นอกจากจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวและเรื่องค่าใช้จ่ายที่ถูกลงในการใช้งานแล้ว ยังมีในแง่มุมของโครงข่ายที่จะทำให้ความหน่วง (Latency) ในการให้บริการที่ต่ำลง และยังตอบโจทย์ในเชิงกฎหมายว่าด้วยถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency) อีกด้วย

แม้ว่า AWS จะแนะนำ 7 กลยุทธ์ (7 R) ในการทำ Modernization ระบบองค์กร หากแต่ ดร.วิชญ์ ได้แนะนำ 3 วิธีการหลักที่องค์กรส่วนใหญ่เลือกพิจารณาปรับใช้จากใน 7 กลยุทธ์ ได้แก่

Credit : AWS

  • Rehost หรือการทำ “Lift and Shift” ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด คือการโคลน (Clone) เครื่องต่าง ๆ ขึ้น Cloud ไปสร้างเป็น Virtual Machine (VM) แล้วลงระบบแบบเดิมทุกอย่าง
  • Replatform หรือการทำ “Lift, Tinker, and Shift” คือเป็นการโยกย้ายระบบออกมาแล้วปรับเปลี่ยนบางส่วนที่จำเป็น เช่นเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่เป็น Container ก่อน แล้วค่อยนำไปขึ้นที่ Cloud 
  • Refactor คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของโค้ดหรือเขียนขึ้นมาใหม่ เพื่อปรับใช้เทคโนโลยีใหม่หรือเทคโนโลยีทางเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่ายในขณะที่ยังช่วยลดหนี้ทางเทคนิค (Technical Debt) ได้ด้วย

ภายในเซสชัน ดร.วิชญ์ ได้ชี้ให้เห็นว่าปกติแล้วเวลาองค์กรจะ Modernize ระบบหรือย้ายระบบขึ้นมาใช้งานบน Cloud ก็มักจะนึกถึงแค่วิธีการ Rehost เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่ายและรูปแบบการทำงานจะเป็นแบบเดิมไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน ส่วนประกอบคอมโพเนนท์ (Component) หรือฐานข้อมูล (Database) ฯลฯ

แต่ทว่า การย้ายมาใช้งานบน Cloud นั้นไม่ได้แปลว่าค่าใช้จ่ายจะถูกลงในระยะยาว เพราะแม้ว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ในช่วงแรก แต่ถ้าหากปรับการตั้งค่าหรือเลือกใช้บริการบน Cloud ที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็นได้ ด้วยเหตุนี้ ดร.วิชญ์  จึงแนะนำ 5 ขั้นตอนที่ควรจะดำเนินการเวลาที่จะ Modernize ระบบขึ้น Cloud ดังต่อไปนี้

1. แยกส่วนประกอบออกจากกัน (Decouple)

Decouple หรือการแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ออกจากกันคือสิ่งแรกที่ควรพิจารณาดำเนินการ เพราะส่วนใหญ่เวลาใช้งานบนเครื่องที่อยู่ใน On-Premises มักจะรวม Component ต่าง ๆ อันได้แก่ โค้ดโปรแกรม เซสชัน ฐานข้อมูล และไฟล์ข้อมูล ซึ่งทั้ง 4 ส่วนมักจะอยู่ในเครื่อง VM เดียวที่ทางทีม Infra ดำเนินการ Provision มาให้ใช้งานทั้งหมด

เพื่อให้หลังจากย้ายระบบขึ้นไปบน Cloud แล้วจะสามารถต่อยอดหรือปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น สิ่งแรกที่องค์กรควรทำจึงเป็นการทำ Decouple โดยแยกส่วน Component ออกมาเป็นส่วน ๆ แยกกันไปในแต่ละ VM เช่น Application Server, Session Server, Database Server และ File Server เพื่อเก็บข้อมูลแต่ละส่วนแยกกันไปให้มีความชัดเจน เพื่อต่อยอดในส่วนถัด ๆ ไป รวมทั้งการ Scale In/Out แต่ละส่วนได้ง่ายขึ้น

2. ปรับใช้เทคโนโลยี Container (Containerization)

เทคโนโลยี Container เป็นแนวคิดที่ทำให้ระบบที่ Build สำเร็จแล้วสามารถรันใช้งานได้ในทุกทรัพยากร ซึ่งนอกจากนำระบบขึ้น Cloud ได้อย่างมั่นใจแล้ว ยังช่วยทำให้องค์กรสามารถเลือกใช้บริการแพลตฟอร์ม Container ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี Container จะทำให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น การ Scale ระบบจะสามารถทำได้ง่ายและยืดหยุ่นมากขึ้น โดย AWS มีบริการ Container หลากหลายรูปแบบ เช่น Amazon Elastic Container Service, AWS Fargate หรือ Amazon Elastic Kubernetes Service ซึ่งจะทำให้กระบวนการ Deploy และ Scale มีความอัตโนมัติมากขึ้นและมั่นใจในการให้บริการได้มากยิ่งขึ้น 

แม้ว่ากระบวนการของทีม Infra ต้องเปลี่ยนไป เช่น ไปทำงานกับไฟล์ Docker Image แทน แต่ก็ทำให้กระบวนการ Deploy หรือ Patching แบบ Manual ผ่าน PowerShell ก็จะหายหรือลดน้อยลงไปในทันที นั่นแปลว่าการนำระบบขึ้น Production จะมีความแน่นอนมากขึ้นกว่าเดิม

3. ปรับเปลี่ยนฐานข้อมูลเป็นแพลตฟอร์ม Open Source (Open Platform Database)

หนึ่งในค่าใช้จ่ายที่มีอัตราส่วนค่อนข้างมากคือค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ (Software License) ไม่ว่าจะเป็นส่วนของระบบปฏิบัติการหรือฐานข้อมูล ถ้าหากว่าปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบปฏิบัติการที่เป็น Open Source อย่างเช่น Linux อย่าง Ubuntu หรือฐานข้อมูล PostgreSQL ได้ ก็จะทำให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของฐานข้อมูล แม้ว่าองค์กรจะสามารถเลือกใช้ Amazon RDS ในการย้าย Microsoft SQL Server มาใช้งานบน Cloud องค์กรจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมากหากเลือกมาใช้งาน Amazon Aurora ที่มี Engine ฐานข้อมูล Open Source อย่าง PostgreSQL ซึ่งให้บริการในระดับองค์กรในขณะที่ราคาเทียบเท่ากับของ Community Version เพียงแค่ย้ายมาใช้ Amazon Aurora ฐานข้อมูลก็มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทันที

ที่สำคัญ AWS มีบริการ Babelfish for Aurora PostgreSQL ที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมให้แอปพลิเคชันที่ใช้งาน Microsoft SQL Server ให้สามารถมาเชื่อมโยงกับ PostgreSQL ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนโค้ดใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งบริการนี้จะทำให้ประหยัดค่า License ของฐานข้อมูลหลังจากย้ายระบบมาขึ้นบน AWS ได้ รวมทั้งยังสามารถทำ Blue/Green Deployment สร้างแอปพลิเคชันใหม่เชื่อมโยงกับ PostgreSQL ในขณะที่ระบบเดิมก็ยังคงให้บริการอยู่ได้จนกว่าจะพร้อมย้ายไปอย่างสมบูรณ์

4. สร้าง Pipeline (Build Pipeline)

ปัจจุบันการนำโค้ด Deploy ขึ้นสู่ระบบ Production ได้มีแนวทางที่ทำให้เกิดกระบวนการ Automation มากยิ่งขึ้นแล้ว ด้วยการสร้างเป็น Pipeline ที่จะทำให้การนำโค้ดขึ้นใช้งานเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจว่าระบบจะสามารถใช้งานได้จริง 

เพราะการ Deploy ระบบแบบ Manual บนระบบต่าง ๆ นั้นมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดได้ในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องสภาพแวดล้อมในแต่ละส่วนที่อาจไม่เท่ากัน ดังนั้น หากองค์กรตัดสินใจทำการ Modernize ระบบแล้ว การสร้าง Pipeline จึงเป็นอีกส่วนที่ควรจะต้องทำ ตั้งแต่การปรับใช้ Git สำหรับ Version Control การทำ Souce Code Scanning การเก็บ Container Image และการปรับใช้กระบวนการ DevSecOps เพิ่มเติม เป็นต้น 

5. เลือกใช้ Component ของ AWS ที่เหมาะสม

หลังจาก Decouple แยกส่วนประกอบของระบบไว้เรียบรอ้ยแล้ว การบริหารจัดการปรับปรุงประสิทธิภาพในแต่ละส่วนก็จะทำได้ง่ายขึ้น เช่น การประยุกต์ใช้บริการ Serverless ของ AWS ไม่ว่าจะเป็น AWS Fargate, Amazon Aurora, Amazon EFS, Amazon ElastiCache หรือ Amazon S3 ก็จะช่วยทำให้ระบบมีความทนทาน พร้อมใช้งานมากขึ้น ในขณะที่ประหยัดค่าใช้จ่าย และไม่ต้องวุ่นวายในการทำ Provisioning หรือบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านล่างอีกต่อไป

หากองค์กรมีความต้องการทำ Modernization บน AWS หนึ่งในองค์กรที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี AWS มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยคือ DailiTech นำโดย MD ของบริษัท ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล ที่มีประสบการณ์ ทำการ Migrate และ Modernize ให้กับลูกค้ามา 10 กว่าปี และการันตีความเชี่ยวชาญด้วยการเป็นหนึ่งใน AWS Community Hero ที่มี Certificate จาก AWS ครบทุกตัวแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้สร้างกลุ่ม AWS User Group (Thailand) ที่มีสมาชิกกว่า 18,000 คนแล้วด้วย

DailiTech เป็นบริษัทที่ได้รับรางวัล AWS Partner of the year Thailand 2025 ล่าสุด ซึ่งได้รับรางวัลนี้ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน และด้วยประสบการณ์จากองค์กรลูกค้ากว่า 100 Use Case ในช่วงเวลาราว 11 ปีของบริษัท จะช่วยสนับสนุนให้องค์กรสามารถ Modernize ระบบบน AWS ได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่ามากที่สุด

“ทุกอย่างที่ DailiTech ออกแบบคือสำหรับ Operation ทั้งหมด โดย DailiTech พร้อมสนับสนุนลูกค้าทั้งระดับ Enterprise และระดับ SMB ซึ่งเราจะนำ Practices ที่ได้จาก Use Case ต่าง ๆ มาดูแลในทุกงานอย่างดีที่สุด” ดร.วิชญ์ กล่าว “เราออกแบบเพื่อทำ Operation และ Optimize เรื่องการดูแลต่อด้วย พอระบบขึ้น Cloud แล้ว ทุกอย่างต้องเงียบสงบ ต้องไม่มีโทรศัพท์มาตอนกลางคืนใด ๆ ทั้งสิ้น”

ทั้งหมดนี้คือเซสชันบรรยาย “Maximising AWS Cloud Economics: Beyond legacy migration to application modernisation” โดย ดร.วิชญ์ เนียรนาทตระกูล Managing Director แห่งบริษัท DailiTech ที่ได้มาแบ่งปันแนวทางการย้ายระบบขึ้น AWS ปรับปรุงระบบให้มีความทันสมัย และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าเดิม ซึ่งมีหลากหลายแนวทางและขั้นตอนที่องค์กรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้าง Cloud Journey ได้อย่างแน่นอน

และถ้าหากองค์กรต้องการที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ AWS แบบครบวงจรตั้งแต่เรื่องของเทคโนโลยี เช่น AI, Data Analytics หรือ DevSecOps การทำ Migration หรือ Modernization รวมทั้งการทำ Billing, Cost Optimization ในการใช้งาน AWS สามารถติดต่อทีมงาน DailiTech ที่พร้อมให้บริการแบบ End-To-End ได้ทันทีที่ลิงก์ https://bit.ly/ContactDailiTech

About chatchai

Tech Writer แห่ง TechTalk Thai ที่สนใจในทุกนวัตกรรมและเทคโนโลยี

Check Also

MetTel จับมือ Check Point เปิดตัวโซลูชันป้องกันภัยคุกคามมือถือสำหรับองค์กร

MetTel ผู้ให้บริการโซลูชันการสื่อสาร ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Check Point Software Technologies เพื่อมอบโซลูชันการป้องกันภัยคุกคามทางมือถือขั้นสูงสำหรับลูกค้าองค์กร

OpenAI เตรียมเปิดตัวเบราว์เซอร์เอเจนต์ AI

มีรายงานว่า OpenAI ใกล้ที่จะเปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ที่อาจเข้ามาเขย่าบัลลังก์ของ Google Chrome หลังจากก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน OpenAI แสดงความสนใจที่จะซื้อ Chrome จาก Google