Microsoft ปล่อยเครื่องมือ Windows Autopatch สำหรับช่วยแบ่งเบางานไอทีองค์กร ให้กระบวนการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นที่เรื่องง่ายขึ้น
Windows Autopatch ช่วยจัดการความซับซ้อน เนื่องจากระบบไอทีขององค์กรมีความพิเศษเฉพาะตัวที่ซับซ้อนสูง และจะต้องมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ในระบบเพื่อให้เทคโนโลยีมีการพัฒนาล่าสุดอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความปลอดภัยที่จำเป็นจะต้องใส่ใจในการอัปเดตให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด เพื่อคุณภาพในการป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ ในเวลาที่เหมาะสม สิ่งที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นการสร้างภารกิจที่ต้องใช้ความรอบคอบและพยายามสูงสำหรับเจ้าหน้าที่ไอทีระดับองค์กร

Windows Autopatch ปิดช่องว่างในความพยายาม ด้วยการจัดการอัปเดตซอฟต์แวร์โดยอัตโนมัติและสามารถตั้งค่าให้มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานทั้งผู้ดูแลระบบและผู้ใช้งาน
คุณสมบัติ และข้อกำหนดของ Windows Autopatch
-
Windows Autopatch จะประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ Deployment Ring ที่ก่อนหน้านี้ Microsoft พยายามผลักดันให้ไอทีขององค์กรปรับการตั้งค่าด้วยการสร้างกลุ่มโมเดลการทดสอบให้กับอุปกรณ์ เพื่อช่วยให้การทำงานของ Windows Autopatch เป็นเรื่องง่ายขึ้นและทุกการอัปเดตจะทำงานได้โดยอัตโนมัติ ซึ่ง Microsoft สร้างกราฟของโมเดลนี้ขึ้นมาให้เห็นภาพถึง Progress ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ทั้งสี่กลุ่มของอุปกรณ์ที่จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ


-
Windows Autopatch จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ที่อยู่ในโดเมนภายในองค์กร “โหมด Hybrid Azure AD กับ Microsoft Intune” เท่านั้น
-
Windows Autopatch รองรับผู้ใช้ Windows 365 for Enterprise แต่ยังไม่สามารถใช้ได้กับ Windows 365 for Business
-
Windows Autopatch รองรับสำหรับอุปกรณ์ Client เท่านั้น ยังไม่สามารถใช้งานบน Windows Server ได้ โดย Windows Server 2022 Datacenter Azure Edition จะมี Hotpatch ที่อยู่ใน Azure Automanage ให้ใช้งานอยู่แล้ว
-
Windows Autopatch มี 3 ฟีเจอร์ให้เลือกใช้งานเมื่อกำลังทำการอัปเดตแพตช์ ฟีเจอร์แรก “Halt” การหยุดชั่วคราวเมื่อเกิดปัญหาขณะกำลังอัปเดตแพตช์ ฟีเจอร์ “Rollback” เมื่อการอัปเดตล้มเหลวสามารถย้อนกลับไปใช้งานเวอร์ชันก่อนหน้าได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ส่งผลกระทบกับเครื่อง Client ฟีเจอร์สุดท้าย “Selectivity” สามารถเลือกปล่อยผ่านหรือระงับการอัปเดตบางอย่างได้
-
Windows Autopatch จะส่งรายงานการอัปเดตผ่าน Microsoft Intune หรือ Configuration Manager เพื่อให้ไอทีผู้ดูแลระบบรับทราบข้อมูลการอัปเดตทั้งหมด
-
Windows Autopatch รองรับการทำงานบน Windows 10/11 Enterprise E3 ขึ้นไป
-
Windows Autopatch รองรับการทำงานร่วมกับ Configuration Manager เวอร์ชัน 2010 ขึ้นไป