เก็บตกงานสัมมนาใหญ่แห่งปี IBM Solutions Summit, Powered by IBM Partners ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ทาง IBM และพาร์ทเนอร์ จัดทัพเทคโนโลยีมาอัพเดทกันอย่างเต็มที่ โดยในงานนี้ ทาง IBM ยังได้ประกาศวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคตและการยกระดับการสนับสนุนพาร์ทเนอร์ พร้อมเชิญ EGAT, Big C และ Kubota มาร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์การทำ Digital Transformation ใน 3 รูปแบบ ที่ตอบโจทย์ทั้ง Hybrid Cloud, AI และ Sustainability กันอย่างครบถ้วน
ทีมงาน TechTalkThai และ ADPT.news มีโอกาสได้ไปร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ จึงขอนำสรุปประเด็นที่น่าสนใจจากงานสัมมนาในครั้งนี้ให้ผู้อ่านทุกท่านดังนี้ครับ
3 เทรนด์อนาคตในมุมมองของ IBM: Hybrid Cloud, AI และ Sustainability
คุณสุรฤทธิ์ วูวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มเทคโนโลยี ของ IBM ในประเทศไทย ได้เริ่มเกริ่นถึง IBM ที่ก่อตั้งมานานกว่า 111 ปีแล้ว ส่วนในไทยเองปีนี้กำลังจะครบรอบ 70 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเทรนด์ของเทคโนโลยีนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด รวมถึงในทุกวันนี้ที่ทั่วโลกกำลังต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่ด้วยเช่นกัน และ IBM เองก็ปรับตัวมาโดยตลอด พร้อมเป็นผู้นำในการคิดค้นสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในต่างประเทศและในไทยมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในปี 2022 นี้ 3 เทรนด์แห่งอนาคตที่ IBM มองเป็นเทรนด์สำคัญทั่วโลกและในไทย ได้แก่
1. Hybrid Cloud
สำหรับธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ การปรับมาสู่ภาพของ Hybrid Cloud นั้นถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เป็นการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านเทคโนโลยีให้กับธุรกิจ Hybrid Cloud เป็นเอนจินสำคัญที่เชื่อมระบบไอทีที่อยู่ในแบบเลกาซีกับบนคลาวด์เข้าด้วยกัน ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้องค์กรทั่วโลกสามารถให้บริการ Digital และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในรูปแบบที่รวดเร็วและตอบไลฟสไตล์ที่เปลี่ยนไปได้ โดยมีตัวเลขสถิติและประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
- Hybrid Cloud สามารถสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้มากกว่าการใช้ Public Cloud เพียงอย่างเดียวถึง 2.5 เท่า
- 80% ของธุรกิจองค์กรระบุว่าปัจจุบันเริ่มมีการใช้งาน Hybrid Cloud แล้ว
- การใช้ Hybrid Cloud ช่วยตอบโจทย์ด้าน Cybersecurity ให้แก่ธุรกิจองค์กรได้ดียิ่งขึ้น
- Hybrid Cloud จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนา AI ในภาคธุรกิจองค์กร ทั้งในแง่ของการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการนำ AI Model มาใช้งาน
ด้วยเหตุนี้เอง Hybrid Cloud จึงได้กลายเป็นกระแสหลักในโลกของ IT Infrastructure ที่ทุกองค์กรต้องมุ่งไป
2. AI
การเติบโตอย่างรวดเร็วข้อมูลและปริมาณข้อมูลมหาศาลที่ธุรกิจต้องใช้วิเคราะห์ ทำให้ AI แทบจะกลายเป็นเทคโนโลยีเดียวที่สามารถประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาลเหล่านี้ได้ อีกทั้ง AI ยังได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำ Automation ทั้งสำหรับภาคธุรกิจและ IT โดยคุณสุรฤทธิ์ได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจเอาไว้หลายประการ
- 35% ของธุรกิจองค์กรเริ่มมีการใช้งาน AI จริงในการดำเนินธุรกิจแล้ว
- ปัญหาของการขาดแคลนแรงงานทักษะและการที่หลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้เทคโนโลยี AI และ Automation กลายเป็นสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มปัญหานี้ได้ ซึ่ง 30% ของธุรกิจก็ระบุว่าพนักงานเริ่มมีการนำ AI และ Automation ไปใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการทำงานแล้ว
- ในอดีต การตรวจจับภัยคุกคามภายในองค์กรนั้นใช้เวลาเฉลี่ยถึง 280 วันกว่าจะพบเจอร่องรอยของการโจมตี แต่ AI ทำให้ความเร็วในการตรวจจับสูงขึ้นถึง 60 เท่า
- ภัยคุกคามในปัจจุบันนั้นส่งผลเสียหายต่อธุรกิจอย่างเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นกว่าในอดีต เช่น ราคาสินค้าในโลกจริงอาจปรับตัวสูงขึ้นได้จากการที่ Supply Chain ของสินค้านั้นๆ ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ดังนั้นบทบาทของ AI ในการปกป้องธุรกิจจึงยิ่งทวีความสำคัญ
- อุตสาหกรรมโรงงานและการผลิตตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามไซเบอร์อันดับหนึ่งแทนที่อุตสาหกรรมการเงินแล้ว ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียเองก็ตกเป็นเป้าของการโจมตีเป็นอันดับหนึ่งของโลกด้วยแล้วเช่นกัน
ในวิสัยทัศน์ของ IBM นั้น AI และ Hybrid Cloud ต่างล้วนเป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ไม่อาจแยกจากกันได้ เพราะระบบ AI ที่ดีนั้นมักจะต้องมี Hybrid Cloud เป็นเบื้องหลัง เพื่อให้ธุรกิจองค์กรมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์ AI หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา อีกทั้งยังช่วยควบคุมต้นทุนทางด้านเทคโนโลยีได้ดีกว่าการใช้เพียงแค่ On-Premise หรือ Public Cloud อีกด้วย
3. Sustainability
สุดท้ายคือประเด็นด้านความยั่งยืนหรือ Sustainability ที่เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกธุรกิจบนโลก โดย IBM ระบุว่า 51% ของเหล่า CEO เริ่มกำหนดให้ความยั่งยืนกลายเป็นหนึ่งในความท้าทายของธุรกิจแล้ว ทำให้หลังจากนี้ภาคธุรกิจองค์กรนั้นต้องมีการวางกลยุทธ์และเป้าหมายทางด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน มีการปรับ Supply Chain ให้ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนและการหมุนเวียนของผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น และในแต่ละปีก็ต้องมีการออกรายงาน ESG Report เพื่อระบุถึงข้อมูลของการกระทำและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อความยั่งยืน ซึ่งต้องสามารถ Audit ได้อย่างโปร่งใส
แน่นอนว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสานเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนนี้ก็ถือเป็นอีกสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพ ตรวจสอบด้านพลังงาน มลภาวะ และการสร้างขยะที่เกิดขึ้น การติดตามข้อมูลของกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ไปจนถึงการลงทุนนำพลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาดมาใช้เพื่อขับเคลื่อนระบบ IT โดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อโลก
ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่ากว่า 80% ของซีอีโอทั่วโลก มองว่าการลงทุนในด้านความยั่งยืนจะทำให้ผลประกอบการธุรกิจดีขึ้นภายใน 5 ปี และ 45% ยังมองว่าความยั่งยืนจะช่วยเร่งเครื่องการเติบโตให้กับองค์กร
จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 เทรนด์ใหญ่นี้ล้วนส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจองค์กร ซึ่ง IBM เองก็มองว่าท้ายที่สุดแล้วการจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เป็นจริงขึ้นมาได้นั้น แนวทางที่สำคัญนั้นก็คือความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม เป็น Ecosystem ที่นำผู้เชี่ยวชาญหรือเหล่า Expert ร่วมกันแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนวิสัยทัศน์เหล่านี้ให้เป็นจริงขึ้นมา
ในปีนี้ IBM ได้กำหนดกลยุทธ์ในการจับมือร่วมกับพาร์ทเนอร์ เป็น Ecosystem ที่ร่วมกันนำเทคโนโลยี AI และ Hybrid Cloud เข้าสนับสนุนองค์กรไทยใน 5 มิติ ประกอบด้วย
- Predict หรือการคาดการณ์ทางธุรกิจเพื่อช่วยองค์กรสร้างความสำเร็จบนพื้นฐานของข้อมูล
- การ Automate ในสเกลใหญ่เพื่อเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพ
- การช่วย Secure ในทุกระบบและช่องทาง ด้วยเทคโนโลยีและบริการด้านซิเคียวริตี้ระดับโลกที่ครบวงจรจากไอบีเอ็ม
- การ Modernize ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ให้องค์กรพร้อมเดินหน้าทำธุรกิจบนสภาพแวดล้อมแบบ Hybrid Cloud
- การช่วยองค์กร Transform ด้วยโมเดลธุรกิจดิจิทัลใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
อีกส่วนที่ให้มุมมองการนำเทคโนโลยีเข้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเห็นภาพได้ชัด คือ Innovation Talk ในงาน ที่มีผู้บริหารจากทาง EGAT, Big C และ Siam Kubota มาเล่าถึงวิสัยทัศน์และประสบการณ์ในการทำ Digital Transformation
EGAT สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศไทย ด้วย Technology และ Future Energy
คุณนพพล พันธ์เงิน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการสินทรัพย์ผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ. หรือ EGAT) ได้เริ่มต้นด้วยเป้าหมายของกฟผ. ที่ต้องการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีพลังงานใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศที่สำคัญในหลากหลายแง่มุม
เทรนด์หนึ่งที่ กฟผ. กำลังจับตามองอยู่นั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงไปของตลาดพลังงานทั่วโลก ที่มีกลุ่มของ Prosumer หรือผู้ใช้พลังงานที่ผันตัวมาเป็นผู้ผลิตพลังงานเองด้วยโซลาร์เซลล์หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มประชาชนทั่วไป ไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานปริมาณมากในการดำเนินการ ดังนั้นสิ่งที่ กฟผ. กำลังทำอยู่ก็คือการพยายามช่วยให้ราคาของพลังงานมีความสมดุลและมั่นคง รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาตอบรับต่อรูปแบบที่เปลี่ยนไปในการผลิตและจ่ายพลังงานจากเหล่า Prosumer อาทิ
- การเตรียมปรับตัว กฟผ. สู่การเป็น Provider พัฒนา Platform ซื้อขายพลังงาน
- การส่งพลังงานผ่านสายส่งผ่านระบบจำหน่าย
- การปรับปรุง Digital Substation รับการผันผวนของพลังงาน
- การผลิต ปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์
- การนำเทคโนโลยีอย่าง Solar Cell ไปวางบนพื้นที่เขื่อนสิรินธร เพื่อผลิตไฟฟ้าร่วมกับพลังน้ำ
- การใช้ไฮโดรเจนผลิตพลังงานไฟฟ้า
- การตั้งเป้าหมายให้การผลิตไฟฟ้าปล่อยคาร์บอนให้น้อยในระดับที่ใกล้เคียงศูนย์ที่สุด
แน่นอนว่าการผลิตพลังงานถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ดังนั้นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ กฟผ. จึงเป็นการดูแลรักษาโรงไฟฟ้าให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมักเป็นเรื่องที่มีต้นทุนสูง มีประเด็นด้านความปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่และทรัพย์สินที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะหากมี Downtime เกิดขึ้นย่อมเสียหายมหาศาล ทาง กฟผ. จึงได้มีการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบ Maintenance โรงไฟฟ้าเหล่านี้อย่างเต็มที่
เทคโนโลยีที่ กฟผ. เลือกใช้เพื่อดูแลรักษาโรงไฟฟ้านั้นก็คือ IBM Maximo Asset Management ที่มีทั้งคุณสมบัติในการรวบรวมข้อมูลด้านการซ่อมบำรุง การเชื่อมผสานระบบเข้ากับ Software ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมบำรุงและการผลิตไฟฟ้า ไปจนถึงการมีระบบ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาลที่เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรในแต่ละวัน ทำให้สามารถทำ Predictive Maintenance ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับ กฟผ. ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ กฟผ. ก็ยังมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนา AI อีกหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา AI เพื่อใช้ประมวลผลภาพถ่ายจาก Drone ที่บินตรวจสอบเขื่อนซึ่งมีขนาดใหญ่ หรือ Solar Floating ขนาดหลายร้อยหรือหลายพันไร่ ส่วนการทำนายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เอง ก็ต้องใช้ AI ร่วมกับข้อมูลทำนายสภาพอากาศเพื่อประเมินกำลังการผลิตให้แม่นยำ เป็นต้น
Big C เร่งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจด้วย Hybrid Cloud
คุณศักดิ์ชัย ลีลาเจษฎากุล Executive Vice President, MIS, บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ได้เล่าถึงการดำเนินธุรกิจของ Big C ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้มีการเพิ่มความหลากหลายให้กับอุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศไทย โดยภายใน Big C นั้นมีทั้งธุรกิจส่วนที่เป็น Hypermarket, Supermarket, Convenience Store, ร้านกาแฟวาวีซึ่งมีโรงคั่วผลิตเมล็ดกาแฟ, เอเชียบุ๊ค, ตลาดกลางคืน, โชห่วย และอื่นๆ อีกมากมาย ทำการค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ ให้ตอบโจทย์คนแต่ละกลุ่มมากขึ้น และขยายตลาดออกไปนอกประเทศไทย ครอบคลุมไปถึงลาว เวียดนาม และกัมพูชา
เมื่อมีรูปแบบของการค้าปลีกที่หลากหลาย การได้มาซึ่งข้อมูลทางธุรกิจของ Big C จึงยิ่งเติบโตเป็นเงาตามตัว เพราะในร้านค้า ตลาด หรือห้างสรรพสินค้าแต่ละแห่งนั้นมีใบเสร็จจำนวนมากเกิดขึ้นในทุกๆ วินาที ดังนั้นประเด็นด้าน IT และ Data จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารของ Big C ให้ความสำคัญมาโดยตลอด และมีการวาง Direction ทางด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจเอาไว้ดังนี้
- One Platform for all BUs ระบบเดียวใช้ทุกแผนก จะได้จัดการง่าย คุ้มค่าใช้จ่ายในการพัฒนา
- Open Source Technology ควบคุมค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ IT ใหม่ๆ แต่ก็ยังคงมีการใช้งาน Software แบบ Commercial คู่ไปด้วย
- Online/Offline Microservice & API Integration รวมข้อมูลจากทั้ง Online/Offline ให้ครบ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดจาก Microservice, API
- Low Code Development Platform จะได้พัฒนา Software สำหรับใช้งานภายในองค์กรได้เร็วขึ้น ตอบโจทย์ธุรกิจและการใช้งานข้อมูลได้ทันท่วงที
- People Capability พัฒนาความสามารถของบุคลากรภายใน Big C โดยทุกคนจะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงาน และมีส่วนในการพัฒนา Software ใหม่ๆ ด้วย
คุณศักดิ์ชัย ยังได้เสริมเรื่องเส้นทางในการทำ Digital Transformation ที่เกิดขึ้นจากความพยายามในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจสู่การเป็น Data Driven ที่ผ่านมา โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ทาง Big C ก็ได้มีการลองปรับเปลี่ยนวิธีการในการนำข้อมูลมาใช้ทำธุรกิจด้วยกันแล้วถึง 3 ยุคใหญ่ๆ
- ยุคแรก ทาง Big C เองยังไม่มีความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลมากนัก จึงได้มีการร่วมมือกับผู้ให้บริการภายนอกในการทำ Customer Insight โดย Big C จะทำการส่งข้อมูลด้านการขายและการตลาดของตนเองออกไปให้ผู้บริการทำการวิเคราะห์ ทำให้ Big C มีโอกาสที่จะค่อยๆ ได้เรียนรู้ Customer Insight ใหม่ๆ ไปพร้อมกับการสร้างความเชี่ยวชาญด้าน Data ของตนเองเพิ่ม
- ยุคที่สอง ทาง Big C รู้ตัวแล้วว่าต้องมีความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลให้ได้ จึงตั้งบริษัท C Smart Solution ขึ้นมา ให้ทีมงานของ Big C และผู้ให้บริการภายนอกทำงานร่วมกัน โดยมีการเปลี่ยนผู้ให้บริการในครั้งนี้เพื่อสร้างโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติม พร้อมกับเริ่มสร้าง Data Warehouse ของตนเองขึ้นมาใช้งาน
- ยุคปัจจุบัน ทาง Big C ต้องการที่จะปรับธุรกิจสู่ภาพของ Data Driven เต็มตัวในระดับ Self Service แล้ว โดยใช้โซลูชัน IBM IIAS และ IBM Power10 ร่วมกันเป็นหลัก เพื่อให้การจัดการเตรียมและนำข้อมูลส่งออกไปให้ผู้ใช้งานใช้นั้นเป็นอัตโนมัติมากที่สุด และปรับ Workflow ในฝั่งของ Data ให้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ลดขั้นตอนการสื่อสารด้าน Requirement ระหว่างภาคธุรกิจ ข้อมูล และ IT ลง เพื่อให้งานทั้งหมดมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
อีกกรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือการที่ Big C ได้ใช้งาน IBM Power System Server มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ IBM Power7 มาจนถึง IBM Power10 ด้วยเหตุผลด้านความคุ้มค่าในการลงทุนด้านพลังประมวลผลเป็นหลัก จนล่าสุดนี้ได้กลายเป็นธุรกิจที่ได้ใช้ IBM Power10 เป็นแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจากโครงการการย้าย Data Center ไปพร้อมกับการทำ Consolidation ควบรวมระบบให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งการอัปเกรดมาใช้ IBM Power10 นี้ก็ทำให้สามารถทำ CPU Core Consolidation ได้มากถึง 64% และยังสามารถลดการใช้ CPU สำหรับ Core ERP ได้ 50% พร้อมกับลด License สำหรับ Database ได้ 45% ทำให้คุ้มค่าต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก
Siam Kubota เสริมศักยภาพเกษตรกรไทย ด้วยแนวคิด Sustainability และ AI
คุณอำนาจ บุตรทองคำวงษ์ KUBOTA Solutions Department Manager บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น ได้เผยว่าในอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยนั้นได้มีการนำ IT และ AI มาใช้อย่างรวดเร็วมากในช่วงที่ผ่านมา ทั้งจากเหล่าเกษตรกรรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เชื่อในเทคโนโลยี ได้ก้าวมาสู่การเป็น Smart Farmer กันมากขึ้นทั่วประเทศ, การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติในภาคการเกษตรที่มากขึ้น ไปจนถึงแรงผลักดันจากเหล่าผู้บริโภคเองที่สนใจประเด็นด้านสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้การใช้เทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามาเสริมประสิทธิภาพในการเพาะปลูกแทนที่การใช้สารเคมีจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญ
ในมุมของ Siam Kubota เองก็ต้องปรับตัวไม่น้อย จากเดิมทีที่เป็นผู้ขายเครื่องจักรทางการเกษตร ก็ต้องผันตัวมาเป็นผู้พัฒนา Platform และเทคโนโลยีด้านการเกษตรแบบครบวงจรแทน นิยามคำว่าลูกค้าของ Siam Kubota เองก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นกลุ่มเกษตรกรเป็นหลัก ปัจจุบัน Siam Kubota ต้องมาทำความเข้าใจถึงระดับของผู้บริโภค เพื่อให้สามารถเห็นถึงทิศทางของตลาด และสะท้อนกลับไปยังการเพาะปลูกให้กับเกษตรกรได้
วิสัยทัศน์ดังกล่าวนี้ทำให้ Siam Kubota ต้องทุ่มเทเต็มที่กับเทคโนโลยีและกระบวนการในส่วนของข้อมูลและ AI เกิดเป็นโครงการที่หลากหลาย ได้แก่
- การใช้ AI สำหรับวิเคราะห์ทางด้านการเงินในภาคการเกษตร ซึ่งต้องเข้าไปช่วยเกษตรกรปรับปรุงตั้งแต่การรวบรวมจัดเก็บข้อมูลต้นทุนการเพาะปลูก เช่น ค่าปุ๋ย ค่าสารเคมี ไปจนถึงการวิเคราะห์คุณภาพผลผลิต เพื่อให้มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการนำมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการเพาะปลูกและผลลัพธ์ที่ได้ นำไปสู่การปรับปรุงด้านการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม
- การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศ โรคระบาด และอื่นๆ เพื่อช่วยลดความไม่แน่นอนในการเพาะปลูกให้กับเกษตรกร พร้อมให้คำแนะนำที่เหมาะสม เช่น ถ้าหากอีก 3 วันฝนจะตก ก็ควรลงปุ๋ยรอไว้ตั้งแต่วันนี้เลย เป็นต้น
- การพัฒนา AI เพื่อตรวจสอบจำแนกชนิดของแมลงที่พบในพื้นที่เพาะปลูก เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และแนะนำการกำจัดแมลงได้อย่างเหมาะสม แม่นยำ และประหยัดที่สุด
- การพัฒนาระบบเพื่อวิเคราะห์ความพร้อมของดิน เพื่อให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจเตรียมดินก่อนปลูกให้เหมาะกับพืชที่ต้องการเพาะปลูกได้
- การทำ Automation ในการเพาะปลูกด้วยเครื่องจักรและหุ่นยนต์ โดย Siam Kubota เชื่อว่าในอนาคตหากสินค้าการเกษตรมีราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น เทคโนโลยีนี้จะถูกใช้งานมากขึ้นในประเทศไทยอย่างแน่นอน ซึ่งการทำ Automation นี้ก็มีความแตกต่างกันไปสำหรับการเพาะปลูกในที่โล่งและภายในโรงเรือน อีกทั้งยังสามารถครอบคลุมไปถึงการตรวจวัดผลผลิตก่อนเก็บเกี่ยวได้ เช่น การตรวจสอบความสุก ความหวาน และสีสันของผลไม้ให้ได้ค่าที่กำหนดก่อนทำการเก็บเกี่ยวแบบอัตโนมัติ เป็นต้น
- การใช้ Image Processing มาตรวจสอบการประกอบเครื่องจักรทางการเกษตร ลดความผิดพลาดในการผลิตลงได้เป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเมื่อ AI กลายเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งของ Siam Kubota แผนการในอนาคตของ Siam Kubota จึงต้องการที่จะย้ายข้อมูลและระบบทั้งหมดขึ้นสู่ Cloud ให้ได้เพื่อนำข้อดีด้านความยืดหยุ่นและการเข้าถึงได้ง่ายดายมาให้บริการแก่เหล่าเกษตรกร โดยมี Hybrid Cloud เป็นก้าวถัดไปเพื่อความคุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าทั้ง EGAT, Big C และ Siam Kubota นี้ ถึงแม้จะเป็นธุรกิจในคนละอุตสาหกรรมกันโดยสิ้นเชิง แต่จุดร่วมในด้านของเทคโนโลยี, AI และความยั่งยืนนั้นก็ยังคงมีอยู่อย่างชัดเจน และนี่ก็คงเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับธุรกิจองค์กรอื่นๆ ที่ต้องการกำหนดวิสัยทัศน์ในระยะยาวหลังจากนี้
สุดท้ายทีมงาน TechTalkThai และ ADPT.news ก็ต้องขอขอบคุณทาง IBM และเหล่าพาร์ทเนอร์ผู้จัดงานแต่ละรายที่ให้โอกาสได้ไปร่วมงานในครั้งนี้ด้วยครับ
สำหรับผู้ที่สนใจรับฟังวิสัยทัศน์ดีๆ สามารถลงทะเบียนรับชมคลิปย้อนหลังได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อไม่ให้พลาดในทุกประเด็นที่น่าสนใจจากงานสัมมนาในครั้งนี้ที่ https://go.techtalkthai.com/2022/08/ibm-solutions-summit-2022-videos/