Apple มีแผนจะเปิดร้านค้าของตัวเองในอินเดีย

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

จากที่มีการเปลี่ยนกฏหมายค้าปลีกภายในอินเดีย ทาง Apple ได้ใช้ข้อได้เปรียบที่เกิดขึ้น ทำการขออนุญาตรัฐบาลอินเดียเพื่อเปิดร้านค้าของตัวเองเป็นครั้งแรก

ตามกฏหมายแล้ว ประเทศอินเดียจะอนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาดำเนินกิจการร้านค้าของตัวเองได้ หากมีการใช้ทรัพยากรมากกว่า 30% มาจากภายในประเทศอินเดียเอง ล่าสุดรัฐบาลอินเดียได้ประกาศว่า บริษัทใดที่ไม่ผ่านข้อกำหนดนี้สามารถเข้ามาเจรจากับทางรัฐบาลเพื่อขออนุญาตในการเปิดร้านค้าของตัวเองได้

ปัจจุบัน Samsung เป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนของประเทศอินเดีย ตามมาด้วย Micromax ซึ่งเป็นแบรนด์ในประเทศอินเดียเอง ในขณะที่สินค้าจาก Apple ถูกมองเป็นสินค้าพรีเมียม เนื่องมาจากเหตุผลทางด้านราคา ถึงแม้ว่าจะมีการกระตุ้นยอดขาย เช่น การนำสินค้ารุ่นเก่ามาลดราคา แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ Apple ขึ้นไปติดอยู่ในกลุ่ม 5 อันดับแรกของตลาดโดยรวมได้ โดยในปัจจุบัน Apple จำหน่ายสินค้าของตนเองโดยอาศัยตัวแทนจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก

จากการสำรวจที่ผ่านมา ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2015 สมาร์ทโฟนจำนวนกว่า 28 ล้านเครื่องถูกนำเข้าสู่ประเทศอินเดีย ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 21.4% จากไตรมาสเดิมของปี 2014 ซึ่งมีการนำเข้าอยู่ที่ 23.3 ล้านเครื่อง

ที่มา : http://www.networkworld.com/article/3024576/apple-plans-to-set-up-stores-in-india.html

About เด็กฝึกงาน TechTalkThai หมายเลข 1

นักเขียนผู้มีความสนใจใน Enterprise IT ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปีในไทย ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ที่ Cupertino, CA แต่ยังคงมุ่งมั่นในการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีให้กับทุกคน

Check Also

Meta เผยแผนเล็งใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพสำหรับดาต้าเซนเตอร์

เป็นที่รู้กันว่าการประมวลผลด้าน AI ต้องการพลังงานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์อย่างมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่ง Meta เองเป็นหนึ่งในผู้เล่นด้าน AI ยักษ์ใหญ่ที่ประสบปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงต้องมองหาพลังงานทางเลือกที่ยังต้องสอดคล้องต่อเรื่องอัตราการปลดปล่อยคาร์บอน โดยล่าสุดแนวทางการใช้ความร้อนใต้พิภพเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว

Fortinet ยอมรับถูกขโมยข้อมูลออกไปจริง

Fortinet ได้ออกมายืนยันข่าวที่มีกลุ่มแฮ็กเกอร์สามารถเข้าไปขโมยข้อมูลบน Azure Sharepoint ของตนได้ โดยยืนยันว่ามีผลกระทบกับลูกค้าเพียงแค่ไม่เกิน 0.3% เท่านั้น และยังไม่มีการเผยถึงเนื้อหาข้อมูลที่ถูกขโมยไป