ที่งาน Line Conference Thailand 2023 วันนี้ ทีมงาน Line ประเทศไทยได้ออกมาอัปเดตสิ่งที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทั้งการเปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ครั้งแรกของ Line ประเทศไทย ตลอดจน Roadmap สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคต 3-4 ปีต่อจากนี้ ซึ่งจะมีบริการใหม่ทยอยเปิดตัวออกมา เพื่อช่วยยกระดับธุรกิจในประเทศไทยทั้งในด้าน B2B และ B2C ที่สำคัญคือการเปิดตัว Stickers Premium เอาใจแฟนพันธุ์แท้ที่ชื่นชอบการใช้งาน Sticker โดยจะเข้าถึง Stickers ได้แบบไม่อั้น ที่จะเป็นบริการแบบรายเดือน

แนวทางการดำเนินธุรกิจ
Line ได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยเรามากกว่า 10 ปีแล้ว โดยเริ่มแรกได้มุ่งเน้นการปิดช่องว่างให้ทุกคนสามารถเชื่อมต่อกันได้ แต่ในระยะหลัง Line ได้พยายามมุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและการดำเนินธุรกิจให้ง่ายขึ้นภายใต้คอนเซปต์ Life on Line ในช่วงปี 2019 เพราะเชื่ออย่างยิ่งว่าสิ่งต่างๆจะก้าวเข้าสู่ออนไลน์ ทั้งๆที่โควิดยังไม่เกิดขึ้น แต่แล้วในปี 2020 สถานการณ์การแพร่ระบาดได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตผู้คน ส่งผลให้บริการของ Line หลายตัวถือกำเนิดหรือได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น Line Man, Line Play และ Line Official เพื่อการค้าขาย รวมถึงการที่ภาครัฐเลือก Line ให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับบริการสาธารณสุขเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาด

เป็นระยะเวลาเนิ่นนานที่คนไทยได้สร้างความคุ้นเคยกับ Line ทั้งการใช้งานส่วนตัวหรือเพื่ออาชีพ โดยการันตีความนิยมได้จากยอดผู้ใช้ระหว่างปี 2019 – 2023 ทะยานสู่ 54 ล้านคน ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มสื่อสารอันดับหนึ่งในไทย ซึ่ง ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE ประเทศไทย ได้เน้นย้ำก้าวต่อไปที่ต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์เฉพาะผู้ใช้อย่างแท้จริง เช่น ในกรณีของ Line Man ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว โดยสิ่งนี้เรียกว่า ‘Hyper-localized’
อย่างที่ทราบกันดีว่า Line ประเทศไทยอยู่ภายใต้บริษัทยานแม่จากญี่ปุ่น โดยมีแกนบริการเบื้องต้นคือ Line Ads, Line Voom, Line OpenChat, Line Today, Line Stickers และ Line OA โดยส่วนที่ต่อยอดภายใต้ทีมประเทศไทยโดยเฉพาะประกอบด้วย Line Shopping, Line Melody, Line Horoscope, MyCustomer และ OAPLUS
วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งานคนไทย

ในงานนี้คุณนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) ได้นำผลศึกษาที่วิเคราะห์เกี่ยวกับการใช้งานฟีเจอร์ ‘แชทกลุ่ม’ ของผู้ใช้งานในประเทศไทยมาให้เราได้รับรู้กันอีกด้วย ซึ่งมีสถิติดังนี้
- ฟีเจอร์แชทกลุ่มเติบโตกว่า 56% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
- สิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานคนไทยแตกต่างจากผู้คนในภาคอื่นๆ ก็คือการส่งรูปรายวัน รองลงมาเป็นไฟล์ประเภทต่างๆ เช่น PowerPoint และเอกสารอื่นๆ
- การใช้งานสื่อประเภท คลิปเสียง หรือวีดีโอ ในผู้ใช้งานคนไทยก็ยังมากกว่าค่าเฉลี่ยกับประเทศอื่นด้วยเช่นกัน
- สถิติแชทกลุ่มแบ่งตามวัตถุประสงค์ได้ 4 ประเภทคือ กลุ่มเพื่อน (82%) ครอบครัว (80%) ทำงาน (77%) และ โรงเรียน/การศึกษา (27%)
- ช่วงวัยที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 15-19 ปีราว 45% รองลงมาคือกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 50 ปีราว 37% และวัย 20-49 ปีมีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกัน
- ในด้านการทำงานช่วงวัยที่มีบทบาทมากที่สุดคือวัย 35-39 ปี โดยคาดว่าน่าจะมาจากการที่ทุกคนใช้กันอยู่แล้ว ทำให้การสั่งงานหรือติดต่อเรื่องงานทำได้ง่ายมากขึ้น
- โดยเฉลี่ยผู้ใช้งาน 1 คนจะมี แชทสำหรับครอบครัวและญาติที่ 4 กลุ่ม แชทเพื่อตอบสนองเกี่ยวกับการศึกษา/โรงเรียน 5 กลุ่ม แชทสำหรับกลุ่มเพื่อน 7 กลุ่ม ที่น่าสนใจคือแชทสำหรับงานถึง 9 กลุ่มที่ยังมีความเคลื่อนไหวทุกวันอีกด้วย
อย่างไรก็ดีแม้ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาคั่นกลางระหว่างการปฏิสัมพันธ์แต่คนไทยก็ไม่เคยละทิ้งความสำคัญของครอบครัว ซึ่งผลวิเคราะห์เผยว่ากลุ่มของครอบครัวช่วยกระชับความสัมพันธ์ได้ถึง 77% โดยเฉพาะบางบ้านที่ผู้สูงอายุอยู่ไกลกับลูกหลานการมี Line กลุ่มก็ช่วยทำให้รู้ลึกไม่ห่างเหินกัน นอกจากนี้การสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานก็ค่อนข้างน่าสนใจที่มีปริมาณมากที่สุดและก็น่าเป็นห่วงที่ดูเหมือนว่างานนั้นเคลื่อนไหวอยู่แทบตลอดเวลา
4 วิสัยทัศน์ และ 3 Roadmap
คุณวีระ เกษตรสิน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ (CPO) ได้เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ที่เป็นแกนหลัก สำหรับการมุ่งหน้าสู่อนาคต โดยกล่าวถึงประเด็นสำคัญ 4 ด้านคือ

1.) Extensive Plug-In หรือการเปิดให้ผู้สนใจสามารถสร้าง Plugin เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มเพื่อนำไปแก้ปัญหาในธุรกิจของตัวเอง โดยเบื้องต้นทีมงาน Line Thailand ก็ได้สร้าง Plugin ไว้อยู่แล้วบางส่วน
2.) Data Utilization เป็นการเปิดให้ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดให้แก่ธุรกิจ
3.) Performance Marketing เป็นการส่งเสริมให้ข้อมูลเพื่อสร้างการโฆษณาหรือสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพ
4.) Privacy Focus ทุกส่วนของการทำงานต้องยึดหลักปฏิบัติที่ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
แต่เพื่อให้เห็นภาพที่ Line กำลังจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ คุณวีระ ยังได้ชี้ภาพ Roadmap ที่กำลังจากเกิดใน 3 แง่มุม โดยมีการขับเคลื่อนสะท้อนได้จากผลิตภัณฑ์ หลายด้านคือ
1.) Customer Data Tools
Line มีเครื่องมือที่ชื่อว่า MyCustomer อยู่แล้วโดยความสามารถที่ผู้ใช้งานจะได้รับในแง่ของ PDPA ก็คือการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าเช่น การใช้งานข้อมูลที่มีกำหนดหมดอายุ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับ Plug in เพื่อบริหารจัดการกลุ่มลูกค้า รู้จักกลุ่มลูกค้า (Profiling) เพื่อนำไปสู่การรักษาลูกค้าเดิมหรือสร้างแคมเปญเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ในส่วนนี้ Line มีแผนที่จะสร้าง MyCustomer สู่ธุรกิจประเภท SME ให้มากขึ้นจากเดิมที่มีการใช้อยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่
2.) Ads improment
ช่วยทำ Persona Targeting ซึ่งมองปัจจัยของผู้บริโภคหลายด้าน ประกอบเป็นข้อมูลที่แม่นยำ เช่น กรณีอุปกรณ์เกี่ยวกับกิจกรรมวิ่งจะมองหาผู้ใช้ที่เคยไปร้านขายอุปกรณ์วิ่งและเคยลงกลุ่มวิ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังขยายผลไปถึงช่องทางการซื้อและประเภทของสินค้าที่ผู้ใช้สนใจ ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าของร้านใน Line Shopping ยังมีเครื่องมือสำหรับการบริหารข้อมูลได้อย่างครบวงจร ด้านการเข้ามาของ Store Front ที่ผู้ใช้ไม่ต้องสร้างระบบติดตามแคมเปญการขาย และมีรายงานให้พร้อม ไม่เพียงเท่านั้นยังบูรณาการข้อมูลของ Line Shopping สู่ MyCustomer และ LineOA
3.) API & Plugin เน้นสร้าง Ecosystem
ออกฟีเจอร์ใหม่ๆให้ Shopping และ Message เพื่ออำนวยความสะดวยให้นักพัฒนาต่างๆ รวมถึงมีแผนเปิดตัว OA Plus Plug-in Store ที่เป็นแกนหลักของแพลตฟอร์ม โดยทีมงาน Line ประเทศไทยได้พัฒนาระบบ OA Plus มาหลายปีแล้ว เพียงแต่การใช้งานยังจำกัดอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในอนาคตหวังให้เกิดการเติบโตในนักพัฒนาอิสระ หรือธุรกิจต่างๆมากขึ้น โดยคาดว่าจะเปิดตัวได้จริงภายในครึ่งปีหลังของ 2024 หลังจากที่ได้ทำการทดสอบกับกรณีต่างๆเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
เปิดตัว Line Stickers Premium
สำหรับบริการใหม่ที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ในงานนี้ เนื่องจากเป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่กระทบผู้ใช้ในวงกว้าง ซึ่งก็คือฟีเจอร์สติ้กเกอร์ที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน โดยบริการ Line Stickers Premium จะเป็นบริการแบบจ่ายรายเดือน สนนราคาที่ 69 บาท/เดือน ปกติแล้วสติ้กเกอร์ 1 ชุดจะอยู่ที่ 65 บาท แต่ด้วยบริการนี้ผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงสติ้กเกอร์ได้กว่า 9 ล้านรายการ อีโมจิกว่า 120,000 รายการ โดยผู้ใช้จะถูกจำกัดจำนวนสติ้กเกอร์ที่ใช้ได้ยกตัวอย่างเช่น 5 ชุด แต่สามารถเลือกเปลี่ยนนำเข้าออกได้ตลอด นอกจากนี้ทีมงานยังได้ผนึกความสามารถ AI เข้ามาเพื่อช่วยแนะนำสติ้กเกอร์ที่น่าจะโดนใจ ซึ่งอาจจะเรียนรู้จากลายเส้นของรูปวาดหรือปัจจัยอื่นๆ