เมื่อ Hybrid Cloud และ Data Analytics กลายเป็นเบื้องหลังการสร้างกังฟูแพนด้าภาค 3

กังฟูแพนด้าภาค 3 ภาพยนตร์อนิเมชั่นจากทาง DreamWorks Animation ที่เพิ่งฉายในโรงหนังไปเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2016 ที่อเมริกานั้น ได้มีการออกมาเปิดเผยว่าเบื้องหลังนั้นมีความร่วมมือกับ Hewlett Packard Enterprise (HPE) เพื่อสร้างระบบ Hybrid Cloud และ Big Data Analytics สำหรับใช้ในการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะทั่วโลก ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากสำหรับการประยุกต์นำเทคโนโลยีมาใช้ในวงการภาพยนตร์และอนิเมชั่นในครั้งนี้

kung-fu-panda-3_banner
Credit: https://www.youtube.com/watch?v=10r9ozshGVE

ในอนิเมชั่นเรื่องกังฟูแพนด้าภาค 3 ทั้งเรื่องนี้ ประกอบไปด้วยจำนวน Frame มากกว่า 118,000 Frame, 240,000 ล้าน Pixel, 600 ล้านไฟล์ และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลถึง 475 Terabytes ซึ่งภาพและเสียงทั้งหมดนี้ก็ถูก Render และประมวลผลรวมกันภายใน Hybrid Cloud ที่ HPE พัฒนาขึ้นมา สำหรับให้เหล่าศิลปินและผู้กำกับได้เข้าไปทำงานร่วมกันแบบ Real-time ได้จากทุกๆ สาขาทั่วโลกพร้อมๆ กัน

การนำ Cloud เข้ามาช่วยนี้ได้ตอบโจทย์ในการสร้างกังฟูแพนด้า 3 เป็นอย่างมาก เพราะภาคนี้เป็นเรื่องราวที่มีหมู่บ้านแพนด้า ซึ่งการ Render ภาพของหมีแพนด้าจำนวนมากที่มี “ขน” ให้ดูนุ่มฟูน่ารักน่ากอด รวมถึงการ Render ฉากที่หมีแพนด้ามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างการกอดหรือการต่อสู้กันนั้น ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก และพลังประมวลผลจากระบบ Cloud ก็เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเติมเต็มโจทย์นี้เป็นอย่างดี

อีกความน่าสนใจมากๆ ก็คือภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้มีการ Render ปากของตัวละครตามเสียง และ DreamWorks Animation ก็ได้ทำภาพยนตร์เรื่องนี้ใน 2 เวอร์ชั่น ได้แก่เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ และเวอร์ชั่นภาษาจีน ดังนั้นการ Render ปากและการพูดของตัวละครแต่ละตัวนั้นจึงต้องแตกต่างกันทั้งหมด และการทำแบบนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มี Cloud เข้ามาช่วย

ไม่เพียงเท่านั้น การนำเทคโนโลยี Big Data Analytics เข้ามาจับในการผลิตอนิเมชั่นจนเกิดเป็น Animation Analytics ด้วยการนำ HPE Vertica เข้ามาประยุกต์ใช้งาน ทำให้เหล่าครีเอทีฟสามารถติดตามการ Render งานทั้งหมดบน Cloud ทั่วโลกได้แบบ Real-time และมองเห็น Trend ต่างๆ พร้อมทั้งสามารถลดเวลาที่ใช้ในการประมวลผลลงได้

Animation Analytics นี้มีความสำคัญต่อขั้นตอนการทำงานและการตัดสินใจของทีมงานสร้างสรรค์ Animation ที่มีขนาดใหญ่และกระจายตัวอยู่ทั่วโลกนี้เป็นอย่างมาก เพราะทำให้ทุกคนรู้ลำดับและกำหนดการของผลการ Render งานทั้งหมด ทำให้แต่ละฝ่ายสามารถวางแผนการทำงานได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น, จัดการความเสี่ยงที่เกิดได้ดียิ่งขึ้น และทำให้ทุกการตัดสินใจเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบกับจำนวนงานที่ต้อง Render ทั้งหมดโดยตรง

ทั้งนี้ทาง DreamWorks Animation เองก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าโดยรวมแล้วการสร้างอนิเมชั่นในภาคนี้ไม่ได้เสร็จเร็วกว่าภาคแรกในปี 2008 แต่อย่างใดทั้งๆ ที่มีเทคโนโลยีมาช่วย แต่ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ทำให้ทั้งทีมสามารถใส่ใจในรายละเอียดได้มากขึ้น, ปรับปรุงอนิเมชั่นให้สนุกยิ่งขึ้น รวมถึงการตัดสินใจใส่ฉากต่างๆ เพิ่มเข้าไปก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้กังฟูแพนด้า 3 มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ก็ถือเป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจในแง่มุมหนึ่งนะครับ ส่วนด้านล่างนี้เป็น Trailer ตัวอย่าง เผื่อใครสนใจจะไปดูในโรงก็จัดไปครับ ไม่แน่ใจว่าในไทยเข้ารึยังเหมือนกัน

ที่มา: https://www.hpematter.com/issue-no-8-winter-2016/hybrid-cloud-and-data-analytics-real-stars-dreamworks-animations-kung-fu 

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

OpenAI ปล่อย Sora Turbo เครื่องมือ AI สร้างวิดีโอสมจริงยิ่งยวดสู่สาธารณะแล้ว

OpenAI ปล่อย Sora ซอฟต์แวร์สร้างวิดีโอแบบสมจริงยิ่งยวด (hyperrealistic) ด้วย AI ให้ใช้งานสาธารณะแล้ว หลังจากการรั่วไหลสู่ชุมชนแชร์โค้ด AI บน Hugging Face โดยผู้ทดสอบรุ่นเบตาประมาณสองสัปดาห์ก่อน โดย …

Databricks เปิดตัว API สร้างข้อมูลสังเคราะห์สำหรับ AI

Databricks ได้เปิดตัว Application Programming Interface (API) ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างข้อมูลสังเคราะห์สำหรับโปรเจกต์แมชชีนเลิร์นนิงของตัวเองได้