กังฟูแพนด้าภาค 3 ภาพยนตร์อนิเมชั่นจากทาง DreamWorks Animation ที่เพิ่งฉายในโรงหนังไปเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2016 ที่อเมริกานั้น ได้มีการออกมาเปิดเผยว่าเบื้องหลังนั้นมีความร่วมมือกับ Hewlett Packard Enterprise (HPE) เพื่อสร้างระบบ Hybrid Cloud และ Big Data Analytics สำหรับใช้ในการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะทั่วโลก ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากสำหรับการประยุกต์นำเทคโนโลยีมาใช้ในวงการภาพยนตร์และอนิเมชั่นในครั้งนี้
ในอนิเมชั่นเรื่องกังฟูแพนด้าภาค 3 ทั้งเรื่องนี้ ประกอบไปด้วยจำนวน Frame มากกว่า 118,000 Frame, 240,000 ล้าน Pixel, 600 ล้านไฟล์ และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลถึง 475 Terabytes ซึ่งภาพและเสียงทั้งหมดนี้ก็ถูก Render และประมวลผลรวมกันภายใน Hybrid Cloud ที่ HPE พัฒนาขึ้นมา สำหรับให้เหล่าศิลปินและผู้กำกับได้เข้าไปทำงานร่วมกันแบบ Real-time ได้จากทุกๆ สาขาทั่วโลกพร้อมๆ กัน
การนำ Cloud เข้ามาช่วยนี้ได้ตอบโจทย์ในการสร้างกังฟูแพนด้า 3 เป็นอย่างมาก เพราะภาคนี้เป็นเรื่องราวที่มีหมู่บ้านแพนด้า ซึ่งการ Render ภาพของหมีแพนด้าจำนวนมากที่มี “ขน” ให้ดูนุ่มฟูน่ารักน่ากอด รวมถึงการ Render ฉากที่หมีแพนด้ามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างการกอดหรือการต่อสู้กันนั้น ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก และพลังประมวลผลจากระบบ Cloud ก็เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเติมเต็มโจทย์นี้เป็นอย่างดี
อีกความน่าสนใจมากๆ ก็คือภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้มีการ Render ปากของตัวละครตามเสียง และ DreamWorks Animation ก็ได้ทำภาพยนตร์เรื่องนี้ใน 2 เวอร์ชั่น ได้แก่เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ และเวอร์ชั่นภาษาจีน ดังนั้นการ Render ปากและการพูดของตัวละครแต่ละตัวนั้นจึงต้องแตกต่างกันทั้งหมด และการทำแบบนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มี Cloud เข้ามาช่วย
ไม่เพียงเท่านั้น การนำเทคโนโลยี Big Data Analytics เข้ามาจับในการผลิตอนิเมชั่นจนเกิดเป็น Animation Analytics ด้วยการนำ HPE Vertica เข้ามาประยุกต์ใช้งาน ทำให้เหล่าครีเอทีฟสามารถติดตามการ Render งานทั้งหมดบน Cloud ทั่วโลกได้แบบ Real-time และมองเห็น Trend ต่างๆ พร้อมทั้งสามารถลดเวลาที่ใช้ในการประมวลผลลงได้
Animation Analytics นี้มีความสำคัญต่อขั้นตอนการทำงานและการตัดสินใจของทีมงานสร้างสรรค์ Animation ที่มีขนาดใหญ่และกระจายตัวอยู่ทั่วโลกนี้เป็นอย่างมาก เพราะทำให้ทุกคนรู้ลำดับและกำหนดการของผลการ Render งานทั้งหมด ทำให้แต่ละฝ่ายสามารถวางแผนการทำงานได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น, จัดการความเสี่ยงที่เกิดได้ดียิ่งขึ้น และทำให้ทุกการตัดสินใจเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบกับจำนวนงานที่ต้อง Render ทั้งหมดโดยตรง
ทั้งนี้ทาง DreamWorks Animation เองก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าโดยรวมแล้วการสร้างอนิเมชั่นในภาคนี้ไม่ได้เสร็จเร็วกว่าภาคแรกในปี 2008 แต่อย่างใดทั้งๆ ที่มีเทคโนโลยีมาช่วย แต่ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ทำให้ทั้งทีมสามารถใส่ใจในรายละเอียดได้มากขึ้น, ปรับปรุงอนิเมชั่นให้สนุกยิ่งขึ้น รวมถึงการตัดสินใจใส่ฉากต่างๆ เพิ่มเข้าไปก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้กังฟูแพนด้า 3 มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ก็ถือเป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจในแง่มุมหนึ่งนะครับ ส่วนด้านล่างนี้เป็น Trailer ตัวอย่าง เผื่อใครสนใจจะไปดูในโรงก็จัดไปครับ ไม่แน่ใจว่าในไทยเข้ารึยังเหมือนกัน