Huawei ผู้ให้บริการโซลูชันระบบเครือข่ายชั้นนำจากประเทศจีน ร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง NTT DOCOMO ได้ทดสอบการใช้งานเครือข่าย 5G บนสภาวะแวดล้อมจริง พบว่าได้ความเร็วสูงสุดถึง 3.6 Gbps และคาดว่าเครือข่ายดังกล่าวจะพร้อมให้บริการภายในปี 2020 นี้
เร็วกว่า 4G LTE กว่า 70 เท่า
เทคโนโลยี 5G ที่ทดสอบนี้ทำงานบนย่านความถี่ 6 GHz โดยความเร็วสูงสุดของการใช้งานที่วัดได้ คือ 3.6 Gbps ในขณะที่เทคโนโลยีปัจจุบันอย่าง 4G LTE ให้ความเร็วสูงสุดที่ประมาณ 50 Mbps (อ้างอิงจากรายงานการใช้งาน 4G LTE ในสหรัฐฯโดย Verizon) นั่นหมายความว่า 5G อาจให้ความเร็วสูงสุดที่เหนือกว่า 4G LTE ถึง 70 เท่า
ทดสอบการใช้งานบนสภาวะแวดล้อมจริง
การทดสอบเครือข่าย 5G นี้ทำขึ้นภายนอกห้องแล็บที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน จากการทดสอบแสดงให้เห็นถึงปัญหาสำคัญอย่างหนึ่ง คือ 5G ทำงานบนย่านความถี่ 6 GHz ซึ่งมีความยาวคลื่นสั้นกว่า 4G LTE ที่ทำงานบนคลื่นความถี่ 1800/2100 MHz ส่งผลให้ขอบเขตในการใช้งานลดลง และคลื่นสัญญาณผ่านสิ่งกีดขวาง เช่น กำแพงได้ยาก
Huawei ยังระบุอีกว่า จากการทดสอบครั้งนี้ ช่วยให้ทราบถึงประสิทธิภาพเทคนิค Sparse Code Multiple Access (SCMA) และ Filtered OFDM (F-OFDM) ซึ่งเป็นเทคโลโยี “Air Interface” ที่สำคัญบนการใช้งาน 5G สามารถดูรายละเอียดเทคนิคต่างๆได้ที่ 5G Enabling Technologies
Nokia และ Sumsung ต่างกำลังทดสอบเครือข่าย 5G
นอกจาก Huawei แล้ว ยังมีผู้ให้บริการรายอื่นที่กำลังทดสอบเทคโนโลยี 5G อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ได้แก่ Nokia และ Samsung แต่ใช้คนละย่านความถี่ โดย Nokia ใช้ย่านความถี่ 73 GHz และ Sumsung ใช้ย่านความถี่ 28 GHz จากรายงานผลการทดสอบล่าสุดของทั้ง 2 เจ้า พบว่าได้ความเร็วในการใช้งานสูงสุดที่ 10 Gbps และ 7.5 Gbps ตามลำดับ
พร้อมให้บริการจริงในปี 2020
Huawei วางแผนที่จะเปิดให้กลุ่มพันธมิตรทดสอบระบบเครือข่าย 5G ต้นแบบในปี 2018 และเปิดให้บริการจริงแก่ผู้ใช้งานทั่วไปในปี 2020 ซึ่งสอดคล้องกับทาง ITU (International Telecommunication Union) ที่จะออกมาตรฐานการใช้งาน 5G ในปี 2020 เช่นเดียวกัน