New York Times ได้เผยแพร่เรื่องราวของ Google ว่ามีการเก็บประวัติพิกัดของอุปกรณ์ในฐานข้อมูลโดยมีชื่อเรียกภายในบริษัทว่า SensorVault ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้หมายศาลที่ชื่อว่า ‘geofence’ ร้องขอข้อมูลผู้ใช้จาก Google เพื่อประโยชน์ต่อการสืบสวนในคดีอาชญากรรมได้

ในรายงานของ New York Times ได้กล่าวอ้างข้อมูลจากคนใน Google หลายคนและได้เผยว่ามีการจัดเก็บประวัติพิกัดด้วยฟีเจอร์ ‘Location History’ จากอุปกรณ์ไว้ในฐานข้อมูลที่เรียกว่า SensorVault ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าแอปพลิเคชัน Google Maps สามารถรู้พิกัดเราได้แม้ว่าเราจะใช้ไอโฟนแต่ถ้ามีแอปนี้เราก็ไม่น่าจะรอดพ้นได้อยู่ดี
อย่างไรก็ตามประเด็นคือตำรวจสามารถใช้หมายศาลที่ชื่อ ‘geofence’ ขอข้อมูลจาก Google เพื่อใช้ในการสืบสวนหาคนร้ายในคดีอาชญากรรม (ประมาณว่าใครอยู่แถวนั้นคือผู้ต้องสงสัย) โดยในลำดับแรกเจ้าหน้าที่จะได้ข้อมูลคร่าวๆ เพื่อนำไปคัดกรองตัวบุคคลก่อนหลังจากนั้นหากมั่นใจแล้วจึงร้องขอเพื่อเปิดเผยรายละเอียดอย่างเจาะจงตัวบุคคลได้ แต่ประเด็นในเรื่อง Privacy หมายความว่าผู้ใช้งานที่บังเอิญอยู่บริเวณนั้นและเปิดฟีเจอร์ Location History อาจบังเอิญตกเป็นผู้ต้องสงสัยเพราะเคยมีกรณีที่ตำรวจคุมขังผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างผิดตัวมาแล้วด้วย (จากรายงานเผยว่าถูกปล่อยตัวต่อในเวลาต่อมา)
สำหรับผู้ใช้งานสามารถเข้าไปปิดฟีเจอร์ Location History ได้ดังนี้
- PC: เข้าไปหน้า Activity History Page (ใช้บัญชี Google ล็อกอิน) -> Device on this account เพื่อดูว่ามีอุปกรณ์ไหนของเราที่กำลังรายงานประวัติพิกัดต่อ Google
- Android: Settings > Google > Google Account > Data & personalization > Activity Controls > Location History (เลื่อนปิดซะ) ตามภาพด้านบน
หากต้องการลบประวัติเก่าต้องเข้าไปที่ https://www.google.com/maps/timeline ไปหน้า Setting และลบประวัติทั้งหมดออกตามภาพด้านล่าง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวอาจจะช่วยในเรื่องของการโฆษณาหรือการหาร้านอาหารที่เหมาะสมตามประวัติผู้ใช้นะครับดังนั้นก็ลองพิจารณากันดูตามความเหมาะสม

ที่มา : https://thehackernews.com/2019/04/google-location-tracking.html และ https://www.howtogeek.com/411387/how-to-stop-googles-sensorvault-from-sharing-your-location-with-law-enforcement/