Cloud Armor เป็นบริการ Web Application Firewall และ DDoS Mitigation ที่ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งวันนี้มีการเพิ่มความสามารถใหม่ๆให้บริการนี้อีกหลายตัว
บริการใหม่ที่เข้าสู่สถานะพร้อมให้บริการมีดังนี้
1.) สามารถทำ Rate-limit รายบุคคลได้และกำหนดว่าจะให้แบนนานเท่าไหร่ เพื่อป้องกันการรบกวนบริการ เช่น ความพยายามล็อกอินแบบ Brute-force นอกจากนี้ยังทำ Rate Limit ตามพื้นที่ได้ด้วยหรือกล่าวคือนับตามจำนวนผู้ใช้ใน Region นั้น
2.) reCAPTCHA Enterprise เป็นกลไกที่ใช้เพื่อป้องกันบอทเล่นงานเช่น การทำ Credential Stuffing, การใช้บอทเพื่อกักตุนสินค้า หรือการกวาดข้อมูลและอื่นๆ ทั้งนี้ผู้ใช้งาน Cloud Armor สามารถเลือกการผสมผสาน reCAPTCHA กับการทดสอบแบบเก่า รวมถึงเปิดใช้ reCAPTCHA เมื่อผู้ใช้เข้าเกณฑ์บางอย่างที่กำหนด
3.) Adaptive Protection เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งานตั้งแต่ธันวาคมปีก่อนแล้ว ซึ่งพูดถึงความสามารถในการตรวจสอบและบรรเทาทราฟฟิคระดับเลเยอร์ 7 ที่ต้องสงสัยได้แบบเรียลไทม์ แต่ล่าสุดมีการอัปเดตให้ WAF Rule รองรับกับมาตรฐานของ OWASP CRS 3.3 รวมถึงเพิ่มความสามารถระดับเครือข่ายให้ผู้ใช้งานคัดกรองทราฟฟิคของบอทไม่ดี ไอพีอันตราย Tor Node และ Endpoint Public Cloud ได้
ในวาระเดียวกันนี้ Cloud Armor ยังได้ถูกขยายให้รองรับกับ Workload เพิ่มได้เช่น Edge Security เพื่อคัดกรองทราฟฟิคช่วงของ CDN หรือ Cloud Storage Bucket และควบคุมการเข้าถึงระดับพื้นที่ร่วมกับ Security Policy ที่ระดับ Edge ของเครือข่าย Google นอกจากนี้ Cloud Armor ยังรองรับการใช้ Load Balancer กับข้อมูลเข้ารหัส (SSL และ TLS) ที่เป็น HTTPS
ที่มา : https://www.securityweek.com/google-introduces-new-capabilities-cloud-armor-web-security-service