จากงาน “Blendata and Opsta Redefine the Future – Pioneering the New Era of AI Transformation” ที่ผ่านมา นอกจากเรื่องวิสัยทัศน์และความร่วมมือที่เกิดขึ้นที่จะก้าวไปด้วยกันในยุค AI Transformation แล้ว เรื่องขีดความสามารถในผลิตภัณฑ์ที่มีให้บริการของทั้งสองบริษัทนั้นเป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างยิ่ง เพราะทั้งคู่กล้าเคลมว่า “สู้ผลิตภัณฑ์ของต่างชาติได้แน่นอน”
บทความนี้ จึงอยากพามารู้จักกับผลิตภัณฑ์โซลูชันของทั้งสององค์กรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น “Blendata Enterprise” แพลตฟอร์มจัดการข้อมูล Big Data แบบ All-In-One จาก Blendata และ “Opstella” ผลิตภัณฑ์ Platform-Engineering-as-a-Service (PEaaS) ที่ทำให้การจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีเป็นเรื่องง่ายและจัดการได้ทุกสภาพแวดล้อมในที่เดียว ซึ่งถือได้ว่าเป็นจิ๊กซอว์ 2 ตัวที่ประกอบเข้ากันได้อย่างลงตัว ที่พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้กระบวนการทรานส์ฟอร์มเกิดได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน
“Blendata Enterprise” แพลตฟอร์ม Data Lakehouse สัญชาติไทย
เพราะการทำ Big Data Analytics ไม่เคยใช้เวลาต่ำกว่า 6 เดือน และงบประมาณที่ใช้ไม่เคยต่ำกว่า 10 ล้านบาทในการทำให้สำเร็จ จึงทำให้ Blendata พัฒนา “Blendata Enterprise” ขึ้นมา เพื่อทำให้การทำ Big Data Analytics ของทุก ๆ องค์กรที่ใช้งานแพลตฟอร์มเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่ผ่านมา และสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้อย่างมหาศาล
Blendata Enterprise คือ “แพลตฟอร์ม Data Lakehouse” ที่ผสมผสานการเป็น Data Lake ที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ทั้งรูปแบบ Structured Data และ Unstructured Data ร่วมกับ Data Warehouse ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล Structured Data และการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ไว้ในที่เดียวกัน
โดย Blendata Enterprise ได้เข้าไปสนับสนุนในองค์กรมากมายกว่า 50 Use Case แล้ว รวมทั้งยังสามารถไปทดแทนผลิตภัณฑ์ระดับโลกที่บริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas) แห่งหนึ่งใช้งานอยู่ได้สำเร็จอีกด้วย จึงทำให้ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Blendata มีข้อมูลไหลผ่านเข้ามาในระดับหลัก “หลายล้านบรรทัดต่อวัน”
ดังนั้น Blendata Enterprise จะทำให้องค์กรสามารถสร้างกระบวนการ Big Data Analytics ภายในองค์กรที่จัดการกับข้อมูลทุกรูปแบบได้แบบครบวงจร โดยที่ไม่ต้องใช้หลากหลายเครื่องมือจนทำให้เกิดความซับซ้อนในการทำเรื่องข้อมูลอีกต่อไปแล้ว
3 จุดเด่นของ Blendata Enterprise
นอกจากเรื่องความง่ายในการใช้งาน ความเร็วในการจัดการข้อมูลแล้ว นี่คือ 3 จุดเด่นของ Blendata Enterprise ที่จะช่วยให้องค์กรเห็นผลลัพธ์จากข้อมูลได้ภายใน 3 เดือน และทำให้เวลาไปสู่ตลาด (Time-To-Market) สั้นลงได้อย่างแน่นอน
ทำทุกอย่างเรื่องข้อมูลในแพลตฟอร์มเดียวได้อย่างง่ายดาย
Blendata Enterprise มีเครื่องมือที่รวบรวมทุกความสามารถในเรื่องข้อมูลครบถ้วนที่พร้อมใช้งานได้ในทุกขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถทำได้ง่าย ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องจัดการกับเครื่องมือหลากหลายตัว ที่มีความซับซ้อนหรือการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละเครื่องมืออาจมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อีกด้วย
โดย Blendata Enterprise มีเครื่องมือครบครัน ตั้งแต่ Data Connector ที่เชื่อมโยงกับ Data Source ที่หลากหลาย ไม่ว่าข้อมูลจะอยู่กระจัดกระจายตามระบบ ERP หรือ CRM เจ้าใด ฐานข้อมูล DBMS ยี่ห้ออะไร ก็สามารถเชื่อมโยง นำข้อมูลเข้ามาจัดการ ETL (Extract, Transform, Load) แล้วนำไปวิเคราะห์ สร้างเป็นรายงาน หน้า Dashboard หรือ API ใช้ประโยชน์ต่อยอดจากข้อมูลได้อย่างรวดเร็วภายในแพลตฟอร์มเดียว
ดำเนินการเรื่องข้อมูลได้แบบ Low Code/No Code
เพราะ Blendata Enterprise คือแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือทุกอย่างในการดำเนินการได้แบบ Low Code/No Code ดังนั้นองค์กรที่ใช้งานแพลตฟอร์ม Blendata จึงไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือนักพัฒนาระบบจำนวนมากเกินไปในการเขียนโปรแกรมหรือต้องจัดการเครื่องมือหลายตัวในการจัดการกับข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานต่อได้
โดยองค์กรสามารถใช้งาน Blendata Enterprise เพื่อจัดการหรือวิเคราะห์ข้อมูลได้ด้วยการคลิกเลือก ลากวาง (Drag-And-Drop) ที่ทำให้เห็นภาพรวมได้สะดวก เช่น กระบวนการจัดการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ สร้าง Dashboard การกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทำให้องค์กรสามารถดูแลแก้ไขสิ่งที่ดำเนินการมาต่อได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้ ถ้าหากต้องดำเนินการขั้นตอนที่ซับซ้อน ภายในแพลตฟอร์มก็พร้อมสนับสนุนการเขียนโค้ดบางส่วนได้ตามที่ต้องการอีกด้วย
Deploy Anywhere พร้อมจัดการข้อมูลได้ทุกแห่งอย่างรวดเร็ว
Blendata Enterprise นั้นมีความยืดหยุ่นอย่างมากในการสนับสนุนการใช้งานตามทรัพยากรที่องค์กรมี โดยองค์กรสามารถเลือกติดตั้งผลิตภัณฑ์ Blendata ได้ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็น On Premises หรือบนผู้ให้บริการ Cloud ชั้นนำต่าง ๆ ซึ่งองค์กรสามารถใช้ Blendata Enterprise ในลักษณะ Hybrid ที่จะบริหารจัดการทุกจุดได้ผ่านหน้าจอ UI ที่ใช้งานได้ง่ายและจัดการได้ในที่เดียว
จุดนี้คือสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Blendata มีความแตกต่างและโดดเด่นกว่าเจ้าอื่น ๆ บนโลก โดยบริษัทยังเคลมว่า Blendata Enterprise นี้เป็นแพลตฟอร์มเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่สามารถนำไป Deploy ในลักษณะ Hybrid ได้ และที่สำคัญแพลตฟอร์มและบริษัทยังได้รับใบรับรองรวมถึงรางวัลมากมาย อาทิ TICTA 2023, APICTA 2023
“Opstella” ผลิตภัณฑ์ Platform Engineering สัญชาติไทย
เพราะตำแหน่งงาน DevOps, DevSecOps กำลังจะหายไปและจะถูกแทนที่ด้วย “Platform Engineering” แทน ตามที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ จึงทำให้ Opsta พัฒนา “Opstella” ผลิตภัณฑ์สำหรับทีม Platform Engineering สัญชาติไทยแท้ เพื่อสนับสนุนให้องค์กรสามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอที (IT Infrastructure) ได้ง่ายและรวดเร็ว
Opstella เป็นผลิตภัณฑ์ “Platform-Engineer-as-a-Service (PEaaS)” ที่อยู่เบื้องหลังของการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีองค์กรมากมายหลายแห่ง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมเครื่องมือในการดำเนินการตามแนวคิด DevSecOps ที่ต้องมีใช้งานได้อย่างครบครัน ที่จะสนับสนุนให้การพัฒนาระบบหรือแอปพลิเคชันองค์กรมีความทันสมัย (Modernization) และมีลักษณะเป็น Cloud Native ได้ในทุกจุด
โดย Opstella จะเป็นเหมือน Internal Developer Portal (IDP) ที่รวบรวมเครื่องมือจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีต่าง ๆ ให้กับทีม Platform Engineering และ Developer ได้ในทุกส่วน ซึ่ง IDP นี้คือเทรนด์ที่ทั้งโลกกำลังจะเดินหน้าไป และบริษัทเคลมด้วยว่า ณ ตอนนี้ มีบริษัทบนโลกเพียงไม่กี่แห่งที่มีโซลูชันลักษณะแบบนี้อยู่อีกด้วย ซึ่ง Opstella คือหนึ่งในนั้น
Key Features ของ Opstella
หลังจาก Opsta ได้พบสิ่งที่ทำซ้ำ ๆ ในการจัดการกับโครงสร้างพื้นฐานไอที Opsta จึงตัดสินใจพัฒนา Opstella และใช้เวลามากว่า 3 ปีกว่าจะพัฒนาจนสำเร็จ จึงทำให้ Opstella เป็น IDP ตัวหนึ่งที่มีฟีเจอร์มากมายที่สนับสนุนการพัฒนาตามแนวคิด DevSecOps โดยฟีเจอร์เด่นของ Opstella ที่หยิบยกขึ้นมาในงาน ได้แก่
- Single Signed-On (SSO) สามารถลงชื่อเข้าใช้เพียงครั้งเดียวเพื่อเข้าถึงเครื่องมือที่มีใน Opstella ได้ทั้งหมด
- Authorization การจัดการสิทธิการเข้าถึงจากศูนย์กลางได้ทั้งแพลตฟอร์ม เช่น การกำหนดให้บัญชีผู้ใช้สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้เฉพาะโซน TEST เท่านั้น เป็นต้น
- Container Management สามารถจัดการ Container บนผู้ให้บริการ Cloud ชั้นนำได้หมด ไม่ว่าจะเป็น Public Cloud, Private Cloud มีตัวบริหารจัดการไว้ให้หมดแล้ว
- Support Hybrid Cloud Multi- Cloud ที่พร้อมสนับสนุนขยายทรัพยากรจาก On Premise ไปสู่ Public ต่าง ๆ ที่ต้องการใช้งานได้ทุกผู้ให้บริการ Cloud ชั้นนำ
- Application Inventory มีแผนภาพ (Diagram) แสดงแอปพลิเคชันที่มีอยู่ทั้งหมดในองค์กรได้ผ่าน Opstella ที่เดียว อีกทั้งยังสามารถดูรายละเอียดได้เลยว่าใครรับผิดชอบหรือทำอะไรบ้าง
3 เวอร์ชัน Opstella พบกันกรกฎานี้
ภายในงาน Opsta ได้เปิดตัว Opstella อย่างเป็นทางการ พร้อมเผยด้วยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ Opstella จะให้บริการเป็น 3 เวอร์ชันให้เลือกใช้ได้ตามความต้องการขององค์กร ได้แก่
- For Operation ที่ออกแบบมาเพื่อทีม Operation ที่เน้นการดูแลจัดการทรัพยากร Container แต่ละส่วนผ่านหน้าจอเป็นหลัก เช่น DEV, SIT อยู่บนเครื่องที่ออฟฟิศและ PRD อยู่บน Cloud
- For Developer เพื่อนักพัฒนาระบบที่ต้องการโฟกัสการเขียนโปรแกรมได้มากขึ้น โดยเวอร์ชันนี้จะมี Template ที่สร้างโครงสร้างต่าง ๆ ให้เลือกใช้งานได้ทันที พร้อมกับมีหน้า Application Monitoring ที่สามารถตรวจสอบติดตามสถานะและ Latency ของแต่ละแอปพลิเคชันมาให้ด้วยเลย
- For Security ที่เน้นเรื่อง Security เป็นหลัก โดยมีหน้าจอจัดการข้อมูลความลับต่าง ๆ เช่น รหัสผ่าน โดยจะมีหน้าจอบริหารจัดการเรื่องดังกล่าวให้โดยเฉพาะ พร้อม Pipeline Template ที่สามารถเลือกใช้ได้ และมี Dashboard ที่รวมรายงานของทุกเครื่องให้ติดตามได้ผ่านหน้าจอเดียว
สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ เตรียมติดตามจากทาง Opsta ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 นี้
ตัวอย่างความสำเร็จของการใช้ Blendata Enterprise และ Opstella
แม้ว่าทั้ง Blendata และ Opsta จะมีเรื่องราวความสำเร็จมากมายในองค์กรต่าง ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศที่ให้บริการมามากมายแล้ว หากแต่หนึ่งในองค์กรที่ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการนำผลิตภัณฑ์ทั้งสององค์กรมาใช้งานจนสามารถทรานส์ฟอร์มไปได้อย่างรวดเร็ว คือองค์กรยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (Telecommunication หรือ Telco) ชั้นนำของประเทศที่มีการใช้งานทั้งสองเครื่องมือมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
เนื่องจากการให้บริการ Telco นั้นมีข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมหาศาล เพียงแค่นำข้อมูลมาสืบค้นหาสิ่งต่าง ๆ ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ยังไม่ได้คิดเรื่องต่อยอดใช้ประโยชน์ใด ๆ ก็ยังมีความท้าทายแล้ว และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ Blendata และ Opsta ได้เข้าไปร่วมกันทำให้องค์กรนี้พลิกโฉมทรานส์ฟอร์มที่นอกจากเรื่องการบริหารจัดการข้อมูลแล้ว ยังทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีได้อย่างรวดเร็วและสามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้อย่างยืดหยุ่นที่สนับสนุนการสร้างบริการใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้งานได้อย่างทันท่วงที
โดยทั้งสองอยู่เบื้องหลังของหลาย ๆ Use Case ของผู้ให้บริการรายนี้ โดยมี Opsta เป็นโครงสร้างพื้นฐานไอทีแล้วต่อยอดด้วย Blendata ที่ทำให้เกิดบริการหรือข้อมูลเชิงลึกในหลากหลายกรณี ตัวอย่างบางส่วน เช่น
- Unified Data Source ที่สามารถรวบรวมข้อมูลจาก 15 โดเมนจากหลากหลายรูปแบบของลูกค้า เช่น ข้อมูลการโทร (Call Data Record หรือ CDR) ให้รวมศูนย์มาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกันได้สำเร็จ ที่สามารถนำไปใช้ต่อยอดและทำให้เกิดความเข้าใจในตัวลูกค้าครบ 360 องศา กลายเป็น Persona ของลูกค้าแต่ละคนชัดเจนยิ่งขึ้น
- Real-Time Campaign Trigger ที่สามารถส่งข้อความ SMS ไปที่โทรศัพท์ลูกค้าได้อัตโนมัติโดยอิงตามพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเสาสัญญาณได้ เช่น การส่ง SMS ต้อนรับพร้อมแจ้งสิทธิประโยชน์ที่อาจใช้ได้ภายในบริเวณนั้น เป็นต้น
- Next-Best Offer ที่สามารถแนะนำได้ว่าลูกค้าน่าจะกำลังชอบสินค้าอะไร เพื่อที่จะเสนอขายเป็นชิ้นถัดไปได้ โดยพิจารณาจาก Persona ของลูกค้าคนนั้น
- Increase Product Upselling การเพิ่มยอดขายสินค้า โดยคาดเดาว่าผลิตภัณฑ์ที่จะเสนอเพิ่มเติมให้กับลูกค้าคนนั้นมีโอกาสรับมากน้อยแค่ไหนหลังจากเลือกสินค้าหนึ่งไปแล้ว
- Churn Prediction การทำนายโอกาสที่ลูกค้ากำลังจะมีการยกเลิกการใช้บริการหรือไม่ โดยอิงจากข้อมูลประวัติต่าง ๆ เพื่อที่จะพิจารณาข้อเสนอหรือโปรโมชันใหม่ ๆ ให้กับผู้ใช้ต่อไป
- Forecasting Insurance Purchases การทำนายว่าลูกค้ามีโอกาสจะซื้อประกันเพิ่มเติมหรือไม่ โดยอาศัยโมเดล ML วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน, SMS, ข้อมูลการโทรศัพท์ และข้อมูลพฤติกรรมอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้ พูดได้ว่า Blendata และ Opsta คือเบื้องหลังสำคัญของการเติบโตขององค์กร Telco รายนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนี้กำลังมีการทดสอบใช้ Generative AI เพื่อสร้างคลังความรู้สำหรับ Call Center ให้ได้อัตโนมัติอีกด้วย
บทส่งท้าย
ทั้งหมดนี้คือ Blendata Enterprise และ Opstella ผลิตภัณฑ์ของสององค์กรที่ประกาศจับมือเดินหน้าไปพร้อมกันในยุค AI Transformation ในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ของทั้งสองนี้เป็นเหมือน 2 จิ๊กซอว์ที่มาประกอบกันพอดีตั้งแต่ฐานล่างโครงสร้างพื้นฐานไอทีไปจนถึงระดับบนที่เป็นการจัดเก็บข้อมูลและใช้ประโยชน์ วิเคราะห์และต่อยอด สร้างเป็นบริการใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนองค์กรให้สามารถพลิกโฉมทั้งองค์กรได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ Blendata Enterprise จากทาง Blendata หรือ Opstella ของทาง Opsta สามารถติดต่อทีมงานของทั้งสองบริษัทได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้
อ่านรายละเอียดและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Blendata ได้ที่
🌐 Website: www.blendata.co
📧 Email: hello@blendata.co
อ่านรายละเอียดและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Opsta ได้ที่
🌐 Website: www.opsta.co.th
📧 Email: contact@opsta.co.th