ในอดีต แลรี่ แอลลิสัน ให้ความเห็นต่อคำถามที่ว่า “เว็บ เซอร์วิสเซส” จะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคตหรือไม่ ไว้ว่า “ผมใช้เวลาในอิตาลีนานเกินไปกว่าจะรู้ว่าเราไม่ควรมองข้ามเรื่องแฟชั่น” ในโลกของเทคโนโลยี เราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าเทรนด์ใหม่ๆ และเราทุกคนรู้ดีว่า แฟชั่นมีความสำคัญ ดังนั้นเราจึงไม่ควรพลาดที่จะร่วมขบวนไปด้วย ในฐานะที่เป็นผู้เล่นหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราก็เป็นผู้นำในการสร้างเทรนด์ใหม่ๆ กำหนดความคาดหวังให้สูงเข้าไว้สำหรับทุกคน และเมื่อเวลาผ่านไป บางสิ่งก็กลายมาเป็นสิ่งที่สร้างรายได้
แล้วอะไรเป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ในปี 2558 ในความคิดของผม คือ
1) Wearable-Schmearable
ภายหลังการเกิดขึ้นของ iWatch สาวกแอปเปิ้ลทั่วโลกต่างคาดว่าเทคโนโลยีสำหรับสวมใส่ หรือ Wearable จะเป็นเทคโนโลยีกระแสหลัก แต่คุณแน่ใจหรือว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในความเป็นจริง คนที่อายุน้อยกว่า 35 ไม่สวมนาฬิกากันแล้ว พวกเขาใช้สมาร์ทโฟนทำทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่การดูเวลา เทคโนโลยีที่ใช้สวมใส่กำลังจะหมดไป เราจะได้เห็นผู้คนใส่บลูทูธที่หูตลอดเวลาเข้ามาแทนที่ แต่ก็มีการพูดกันว่าไม่ใช่เทคโนโลยีสวมใส่ได้ทุกอย่างจะล้มเหลวไม่เป็นท่า เทคโนโลยีสวมใส่ที่เจาะเฉพาะกลุ่มผู้ใช้จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นตลาดให้ดีขึ้น เช่น FitBits หรือ Jawbones ที่ใช้ติดตามตรวจสอบการเผาผลาญพลังงานหรือกิจกรรมด้านสุขภาพ จะยังคงเฟื่องฟูและจะไปอยู่ในเสื้อผ้ากีฬา รองเท้าและอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น
2) การเข้าถึงผู้บริโภค
อุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือในเกือบทุกอุตสาหกรรม ธุรกิจที่ปรับตัวและให้บริการผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ตรงไปยังผู้บริโภคได้ ซึ่งจะทำให้เกิดช่วงเวลารู้แจ้งสำหรับนักการตลาด นักการตลาดมีโอกาสที่จะนำข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับพฤติกรรมส่วนตัวของผู้บริโภค ณ ขณะนั้น มาใช้เพื่อดึงความสนใจผู้บริโภคไปยังสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง ลองพิจารณาดูร้านค้าปลีกที่มีความชำนาญและรู้ว่าผู้บริโภคอยู่ที่ใดบ้าง หรือบริษัทเสื้อผ้ากีฬาที่เข้าใจกิจวัตรการออกกำลังกายและสภาพร่างกายของลูกค้าของพวกเขา สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเด่นในการสร้างรายได้ก็จริง แต่ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีความอดทนน้อย บริษัทหลายแห่งตระหนักและดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานหลายปี ซึ่งเราหวังว่าจะมีการนำข้อมูลเฉพาะของลูกค้ามาใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น นั่นหมายถึงว่า กระแสข้อมูลจำนวนมหาศาลจะต้องได้รับการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นการผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีต่างๆ มากมายขึ้น เช่น อิน-เมมโมรี่ ดาต้าเบสต์ และแฟลชสตอเรจ
3) เรื่องของซอฟต์แวร์ทำงานแทนเรา
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทส่วนใหญ่เลิกธุรกิจการเขียนซอฟต์แวร์ แผนกไอทีขององค์กรกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล และการใช้ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม (ERP) ในทศวรรษหน้า เทคโนโลยีของเกือบทุกอุตสาหกรรมจะถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์ และซอฟต์แวร์หลายๆ อย่างเหล่านั้นจะทำงานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต อย่างแน่นอน นอกจากนั้นซอฟต์แวร์เหล่านั้นยังติดตั้งอยู่ในรถยนต์ เครื่องยนต์ของเครื่องบิน รองเท้าวิ่ง และแม้แต่ในตัวคน คุณคิดว่าเทสลาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าใช่ไหม แต่เทสลาเป็นมากกว่านั้น เทสลาเป็นรถยนต์ที่ควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ และให้ประสบการณ์การขับขี่เช่นเดียวกับแอปเปิ้ลที่ให้ประสบการณ์การใช้โทรศัพท์มือถือ ตอนนี้รถของคุณเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่เป็นสุดยอดของการคิดค้นที่ทันสมัย บริษัทที่ไม่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แบบนี้จะอยู่ในวงการไม่ได้นาน เทรนด์นี้ยังมีผลกระทบใกล้ตัวเราด้วยแม้แต่โครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล (ที่อีเอ็มซีให้บริการอยู่) เช่นเดียวกันกับที่ในอนาคต สมาร์ทซอฟต์แวร์ จะเป็นผู้จัดการและใช้งานสตอเรจ อาร์เรย์, เซิร์ฟเวอร์, เน็ตเวิร์ก, และศูนย์ข้อมูลทั้งหมด
4) ไอทียุคใหม่ = การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความคล่องตัวในการปรับใช้+ คนรุ่นใหม่
ในทศวรรษหน้า ซอฟต์แวร์ที่ทำงานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ แต่เรื่องเหล่านี้จะไม่ได้รับการบันทึกไว้เหมือนดั่งเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งเราส่่วนใหญ่ที่อายุสี่สิบปีขึ้นไปได้เรียนรู้มาจากโรงเรียนว่าการเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายของวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นมีราคาแพง ทำให้เราต้องจัดการกับข้อเรียกร้องหรือความต้องการใช้งานตั้งแต่เนิ่นๆ เผชิญหน้าและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงนั้น การเปลี่ยนแปลงดูจะเป็นสิ่งที่เลวร้าย ดังนั้นพวกเราหลายคนจึงใช้เวลาในชีวิตการทำงานของเราไปกับโครงการที่กินเวลานานหลายปี และท้ายสุดก็ได้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือ ความมหัศจรรย์ของการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่เป็นขั้นเป็นตอนในรูปลักษณะของ ‘ชั้นน้ำตก’
ถ้าจำเป็นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ จะเกิดจากการผลักดันจากธุรกิจ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับ “ไอที” (คนที่เขียนซอฟต์แวร์) ที่ฝังตัวอยู่ในธุรกิจ การพัฒนาจะถูกทำซ้ำ ใช้เทคนิคที่คล่องตัว จัดลำดับความสำคัญการทำงาน และจากนั้นจัดลำดับความสำคัญอีกครั้งทุกสองสามสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความคับคั่งของวงจรการตอบสนองของธุรกิจ เรากำลังพูดถึงรูปแบบใหม่ด้านไอที และหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจเกือบจะทันที สิ่งที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังเข้ามาทำงานในองค์กร ปี 2558 จะเป็นตัวแทนของจุดเริ่มต้นของการกระจายอำนาจด้านไอที – การดำเนินงานด้านไอทีอยู่ในแบบรวมศูนย์ แต่การพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมุ่งหน้าออกไปสู่หน่วยธุรกิจเฉพาะที่เกี่ยวข้องกัน
5) การเรียนรู้ยุคใหม่จะเป็นแบบนี้
ปี 2558 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ด้านการศึกษา เราจะเห็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดการเรียนแบบบรรยาย รูปแบบของการเรียนจากการบรรยายของอาจารย์จะหมดไป การทดลองในมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ พบว่าในการบรรยาย 40 นาที นักเรียนให้ความสนใจประมาณ 7 นาทีเท่านั้น หากบรรยาย 60 นาที เวลาของความตั้งใจฟังการบรรยายก็จะลดลง ในสถาบันการศึกษาที่เลิกการบรรยายไปแล้วและใช้การสอบแบบออนไลน์มีอัตราการที่ต้องสอบใหม่ต่ำลงจากเกือบ 50% เหลือเพียงเป็นตัวเลขหลักเดียว และนี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวดีเดียวเท่านั้น การนำเนื้อหาไปไว้บนออนไลน์ ทำให้สามารถเข้าถึงเนื้อหาทางการศึกษาได้ทั่วโลกอีกด้วย ลองจินตนาการถึงโลกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเอกสารการเรียนการสอนเดียวกันกับที่โรงเรียนชั้นนำสอน ต่อไปเมื่อบุตรหลานของคุณอยู่ในสถาบันคาห์น ขอให้คุณดูดีๆ ว่าคุณกำลังเห็นอนาคตของการศึกษาแบบที่เรียนรู้จากการทำงาน
เกี่ยวกับอีเอ็มซี
อีเอ็มซี คอร์ปอเรชั่นคือผู้นำระดับโลกที่ช่วยองค์กรธุรกิจและผู้ให้บริการเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบ IT as a service โดยมีคลาวด์คอมพิวติ้ง เป็นพื้นฐานสำคัญ ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมต่างๆ ของอีเอ็มซี ช่วยให้การเดินทางไปสู่คลาวด์คอมพิวติ้งรวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนหน่วยงานเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดเก็บ จัดการ ปกป้อง และวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กรด้วยวิธีที่คล่องตัว เชื่อถือได้ และคุ้มค่ามากกว่า ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอีเอ็มซีได้ที่ www.EMC.com