จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยกับงาน “Connexting to the success” โดย The Practical Solution (TPS) ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา งานสัมมนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ TPS ผู้ให้บริการโซลูชันระดับองค์กรหลากหลายรูปแบบที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
เรียกได้ว่าเป็นอีกงานสัมมนาที่บรรยากาศครึกครื้นทั้งโซนนิทรรศการที่มีพาร์ตเนอร์มาร่วมกว่า 22 บูธ และเซสชันบรรยายที่อัดแน่นไปด้วยความรู้ในด้านโครงสร้างพื้นฐานไอที (IT Infrastructure) และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ตลอดทั้งวัน มีเรื่องราวอะไรในแต่ละเซสชันที่น่าสนใจในงาน TPS ครั้งนี้บ้าง ติดตามได้ในบทความนี้
เส้นทาง 20 ปีของ The Practical Solutionผู้เชี่ยวชาญโซลูชันไอทีระดับองค์กร
The Practical Solution หรือ TPS คือบริษัทสัญชาติไทยผู้ให้บริการโซลูชันไอทีระดับองค์กรหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญและให้บริการโซลูชันเน็ตเวิร์กและโครงสร้างพื้นฐานไอที และจนถึงวันนี้ TPS ได้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 20 เป็นที่เรียบร้อย
เพื่อสะท้อนแนวคิดของบริษัทที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์กรลูกค้าทุกท่าน TPS และพาร์ตเนอร์จึงได้จัดงานสัมมนาใหญ่ในธีม “Connexting to the success” เพื่อนำเอาโซลูชันหลากหลายรูปแบบมาจัดแสดงพร้อมหัวข้อเซสชันบรรยายที่จะพาอัปเดตเทรนด์สำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่อง Cybersecurity
“ทุกคนประสบปัญหาเดียวกัน คือเรื่องการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านไซเบอร์” คุณสมหวัง ชัยรุ่งมณีดำรง Cybersecurity Specialist Technical Lead จากบริษัท The Practical Solution กล่าว “TPS เห็นปัญหานี้ และเรามุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ให้กับองค์กรลูกค้า เราจึงไม่ได้มุ่งมั่นแค่จะขายเทคโนโลยีโซลูชันเท่านั้น แต่ยังมีบริการที่ช่วยดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ”
เพราะแท้จริงแล้ว TPS มีบริการโซลูชัน Cybersecurity, Data Center, AI และ Blockchain ที่พร้อมสนับสนุนได้อย่างครอบคลุม โดยมีบริษัทในเครือได้แก่ X-Secure ผู้เชี่ยวชาญในด้าน Cybersecurity, The Win Telecom ผู้ให้บริการสายไฟเบอร์ในด้านโทรคมนาคม และ Applied TECHNE ผู้ให้บริการเครื่องจักรขนาดใหญ่ในภาคการผลิต
“4 อย่างที่ TPS มุ่งมั่นและตั้งใจ อย่างแรกคือเราตั้งใจที่จะรักษามาตรฐานและพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน Network Infrastructure ส่วนที่สองเรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ให้บริการและนําเสนอโซลูชันด้าน Cybersecurity อย่างครบวงจร ส่วนที่ 3 เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นําในการนําเสนอโซลูชัน Data Center และส่วนสุดท้ายที่สําคัญคือเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการหลังการขายให้เป็นไปตาม Core Value ขององค์กร คือการให้บริการอย่างมี Service Mind และมีความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกับทุกท่านเพื่อให้เกิดความพึงพอใจและมั่นใจใน TPS” คุณสมหวัง กล่าวเสริม
Cisco ชี้องค์กรต้องปกป้องเน็ตเวิร์ก ให้เชื่อมโยงอย่างมั่นคงปลอดภัย
เพราะโลกการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบไฮบริด (Hybrid Work) ผู้คนล้วนมีความต้องการทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work From Anywhere) การเชื่อมโยงได้จากทุกที่ทุกแห่งไม่ว่าจะทำงานระหว่างเดินทาง ที่ร้านอาหารหรือร้านกาแฟจึงเป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้การสนับสนุน เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและมีผลิตภาพ (Productivity) สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำคัญในการทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นได้จริงคือเรื่อง Security ในแต่ละจุด ซึ่ง “เน็ตเวิร์ก” ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ของผู้ใช้งานปลายทางมายังโครงข่ายขององค์กรที่มีระบบและข้อมูล คืออีกส่วนสำคัญที่จะต้องปกป้องเน็ตเวิร์กไม่ให้ถูกโจมตี เช่น ถูกดักขโมยข้อมูล หรือถูก Phishing ไปดำเนินการโจมตีต่อได้
ทาง Cisco จึงมีผลิตภัณฑ์เพื่อช่วย Secure Networking ระดับองค์กรหลากหลายรูปแบบ ที่จะช่วยปกป้องทั้งในฝั่งองค์กรตามสาขาต่าง ๆ และคนทำงานที่จะรีโมท (Remote) เข้ามาที่องค์กร โดย 2 ผลิตภัณฑ์จาก Cisco ที่จะตอบโจทย์ Secure Networking ในการทำงานยุค Hybrid Work ได้มากขึ้น ได้แก่
- Cisco Identity Service Engine (ISE) โซลูชันควบคุมการเข้าถึงเน็ตเวิร์กระดับองค์กร ที่ช่วยเสริมเรื่องการควบคุมอัตลักษณ์ (Identity) และนโยบาย (Policy) ได้จากส่วนกลาง กำหนดบทบาท (Role) สิทธิ (Privilege) เฉพาะที่จำเป็น อนุญาตให้เข้าถึงได้เฉพาะอุปกรณ์ที่มีสิทธิเข้าใช้งานเท่านั้น
- Cisco Secure Network Analytics ช่วยปกป้องโครงข่ายเน็ตเวิร์กธุรกิจให้มั่นคงปลอดภัย ช่วยติดตามและวิเคราะห์การจราจร (Traffic) พร้อมพฤติกรรมของอุปกรณ์ ที่จะตรวจจับและตอบสนองได้อย่างชาญฉลาด เสริมการมองเห็น (Visibility) ให้กับองค์กรได้ดีขึ้น
โดยแพลตฟอร์ม Cisco พร้อมสนับสนุนองค์กรยังสามารถกำหนดนโยบาย (Policy) ได้จากศูนย์กลางเพื่อบังคับใช้ (Enforce) ไปในทุกที่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้งานเน็ตเวิร์กในการถูกโจมตีพร้อมกับเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน โดย Cisco คืออีกโซลูชันที่สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก และเพิ่มความปลอดภัยทั้งฝั่งองค์กรและพนักงานที่จะทำงานจากที่ใดก็ได้ได้อย่างมั่นใจ
Palo Alto Networks ชู AI เร่งประสิทธิภาพการทำงานของศูนย์ SOC
เพราะรูปแบบการโจมตีของแฮกเกอร์ในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด การขโมยข้อมูลสามารถดำเนินการจนเสร็จสิ้นได้ภายในแค่ราว 13 ชั่วโมง หากศูนย์ Security Operations Center (SOC) ดำเนินการตรวจสอบติดตามและแก้ไขปัญหานานกว่านั้น ก็เรียกได้ว่าไม่ทันกาลเสียแล้ว
การดำเนินการของศูนย์ SOC จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือรูปแบบใหม่ มีการทำงานเชิงรุก (Proactive) มากยิ่งขึ้นผสานกับการวางกลยุทธ์ที่ดี เพื่อจัดการกับภัยคุกคามได้ทันท่วงทีมากขึ้น ซึ่ง Palo Alto Networks พร้อมสนับสนุนศูนย์ SOC ยุคใหม่ให้สามารถขับเคลื่อนด้วย AI ผ่านแพลตฟอร์ม Cortex XSIAM
Cortex XSIAM เป็นแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือมากมายรวมศูนย์ (Unified) ให้ใช้งานได้อย่างครบครัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานของศูนย์ SOC ให้ขับเคลื่อนด้วย AI ที่หนุนให้มีความชาญฉลาดมากขึ้น เพิ่ม Productivity ได้อย่างนัยสำคัญ และมีกระบวนการอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น โดยดำเนินการผ่าน 3 แกนหลักสำคัญ ได้แก่
- Data โดย Cortex XSIAM พร้อมรับข้อมูลจากทุกเจ้าได้แล้ววันนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะ Endpoint ของ Palo Alto Networks เท่านั้นอีกต่อไป
- AI ที่พร้อมสนับสนุนได้ 5,000 Detector และมีโมเดลพร้อมสนับสนุนมากกว่า 2,200 โมเดล ที่พร้อมใช้งานวิเคราะห์ข้อมูลที่จัดเก็บไว้ ตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้เร็วขึ้นกว่าที่ผ่านมา
- Automation ที่มี Playbook สนับสนุนกระบวนการอัตโนมัติ ทำให้ลดภาระงานของนักวิเคราะห์และ MTTR ลงไปได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้พนักงานมีเวลาไปดำเนินการในงานที่สำคัญกว่ามากขึ้น
Cybersecurity คือปัจจัยสำคัญที่หนุนเรื่อง Sustainability องค์กร
ความยั่งยืน (Sustainability) คืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทุกองค์กรต้องพิจารณาให้ความสำคัญ แม้ว่าประเด็นจะพุ่งเป้าไปในเรื่องการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emissions) เป็นสำคัญ หากแต่ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาไปพร้อมกันด้วยตามแนวคิด ESG โดยเฉพาะเรื่องธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อให้ธุรกิจมีความยั่งยืน ซึ่ง Cybersecurity คือองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นได้
Cybersecurity ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแค่เฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น องค์กรธุรกิจขนาดกลางหรือแม้แต่ขนาดเล็กก็ล้วนจำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ เช่นกัน เพราะแฮกเกอร์ไม่ได้สนใจขนาดองค์กร แต่สนใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันหรือในอนาคต ดังนั้น ทุกองค์กรจึงควรตรวจสอบและบริหารจัดการในด้าน Cybersecurity ให้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“อย่าให้เหตุการณ์โจมตีเกิดขึ้นกับคุณ และอย่าคิดว่าภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นแต่กับเฉพาะคนอื่น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นกับคุณ” พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าว “คุณจะเป็นผู้โชคดีที่รอด ? มันจะไม่ได้เป็นแบบนั้น มันจะเป็นว่าถ้าคุณไม่พร้อม ก็คือรอวันที่เมื่อไหร่จะถึงคิวของคุณมากกว่า”
“ความยั่งยืนเป็นประเด็นที่ร้อนแรงมาก ๆ และตอนนี้จะเริ่มเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ”ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ (รักษาการ) ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ด้านสารสนเทศ (สวทช.) กล่าว “ในอนาคตมิติของ Cybersecurity จะไม่ได้เป็นเรื่องคนแล้ว แต่จะกลายเป็นเรื่องของ Smart Everything แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้พูดถึง AI เลย แต่จะเห็นว่าทุกอย่างจะเริ่มมาแล้วทั้งข้อมูล จำนวน และ Surface Attack ก็จะกว้างขึ้นมาก”
“ทีม Sustainability หรือ ฝ่ายความยั่งยืนต้องคิดไปถึงภาพสุดท้าย คือมองเรื่องผลกระทบ (Impact) ให้เป็นตัวเลขมากขึ้น เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นภาพเดียวกับองค์กรว่าวันนี้องค์กรมีความเสี่ยงในเรื่องต่าง ๆ ที่คิดเป็นตัวเงินเท่าไหร่” คุณกุลธิดา วิรัตกพันธ์ แห่ง PwC ประเทศไทย กล่าว “เราอาจจะต้องมองจากข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ว่าปัญหาอาจจะมีเหตุการณ์เป็นสถานการณ์ (Scenario) แบบนี้เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเริ่มมองอนาคตแล้วประเมินความเสี่ยงออกมาเพื่อเปิดเผยข้อมูลให้นักลงทุนได้เห็น เพราะสิ่งนี้จะมีผลต่อคุณค่า (Shared Value) ขององค์กร”
ดังนั้น ไม่ว่าองค์กรธุรกิจจะมีขนาดเท่าใด อาจจะไม่สามารถทำธุรกิจได้อย่างยั่งยืนได้เลยถ้าหากไม่สนใจในเรื่อง ESG และหนึ่งสิ่งที่สำคัญอย่างมากคือเรื่อง Cybersecurty เพราะว่าถ้าหากปกป้องไว้ไม่ดีเพียงพอแล้วเกิดความเสียหายขึ้น การกู้คืนความน่าเชื่อถือจะดำเนินการกลับมาได้ยากมาก ดังนั้น Cybersecurity คือหนึ่งในแกนสำคัญที่จะทำให้เกิด Sustainability ให้กับประเทศไทยและในโลกใบนี้
Fortinet ชี้ SASE คือคลื่นลูกถัดไปในการปกป้ององค์กร
เนื่องจากโลกการทำงานปัจจุบันยังคงเป็นยุคไฮบริด (Hybrid) รวมทั้งการใช้งาน Cloud และฮาร์ดแวร์อุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เรื่อง Security มีความสำคัญในทุกองค์กรที่จะต้องปกป้องทั้งระบบ ข้อมูล และอุปกรณ์ปลายทางของผู้ใช้อย่างเครื่องโน้ตบุ๊ก แล็ปท็อป พีซี ฯลฯ ให้มีความปลอดภัยแม้ว่าจะทำงานจากภายนอกโครงข่ายองค์กรก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ Fortinet จึงชี้ให้เห็นว่า Secure Access Service Edge (SASE) ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างระบบ Security ไว้ให้ใช้งานได้ผ่าน Cloud นั้นจะเป็นอนาคตที่ทุกองค์กรต้องหันมาปรับใช้ เพื่อให้สามารถตรวจสอบติดตามสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในองค์กร ดูแลได้แบบ End-To-End ทั้งการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต เครื่อง Server ระบบ SaaS ซึ่งจะกลายเป็นระบบ Security หลักให้กับองค์กรในอนาคต
และ Fortinet จึงมีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมสนับสนุนการทำ SASE ด้วยจุดเด่นของ Fortinet คือ “ความง่าย” และเป็น “Unified SASE” ที่พร้อมสนับสนุนการทำ SASE ให้องค์กรได้อย่างรวดเร็วผ่านอุปกรณ์ของ Fortinet ร่วมกับเครื่องมือที่ใช้งานยอดนิยมอย่าง Fortigate หรือ Forticlient ก็สามารถเริ่มต้นปกป้องโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรให้ปลอดภัยได้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว
Radware เสริมแกร่งองค์กร จัดการภัยคุกคามด้วย AI
แม้ว่า AI จะมีประโยชน์ในการทำงานขององค์กรในหลากหลายแง่มุม แต่ผู้ไม่ประสงค์ดีก็สามารถใช้งาน AI ในการสร้างภัยคุกคามนำมาโจมตีองค์กรได้เช่นกัน ซึ่ง AI ได้ทำให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการโจมตีมากขึ้น และสามารถสร้างเครื่องมือการโจมตีได้ง่ายขึ้น ส่งผลกระทบในวงกว้างได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้น ได้ทำให้ภัยคุกคามนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และวิธีการปกป้องการโจมตีในรูปแบบดั้งเดิมอย่างการตรวจสอบ Signature นั้นไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะรูปแบบการโจมตีก็วิวัฒนาการที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ Radware จึงพร้อมสนับสนุนเสริมแกร่ง AI เข้าไปในผลิตภัณฑ์เพื่อให้องค์กรสามารถจัดการภัยคุกคามได้ดีมากยิ่งขึ้น
โดย Radware จึงพร้อมตอบโจทย์แบบ One-Stop-Shop ที่มี AI เพื่อรับมือกับการโจมตีจาก AI โดยแบ่งเป็น 5 แกนสำคัญ ได้แก่
- WAF ปกป้องตาม OWASP Top 10 และ Zero Day Attack โดยมี AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อจัดการเหตุการณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
- API Protection พร้อมปกป้อง API ได้แบบ Real-Time ป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างยืดหยุ่น
- Bot Management ที่สามารถตรวจจับตามพฤติกรรมได้ว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นบอทที่ดีหรือไม่ดี ร่วมกับ AI ที่จะตรวจสอบความสัมพันธ์จากข้อมูลในโมดูล WAF หรือ API ได้อัตโนมัติ
- Client-Side Protection เพราะเว็บไซต์ทั่วไปมักจะมีการใช้งาน Javascript จาก 3rd Party มากมาย สิ่งนี้จะช่วยช่วยปกป้องช่องโหว่ที่อาจมีใน Supply Chain ได้ดียิ่งขึ้น
- Web DDoS Protection ที่มี AI สนับสนุนการตรวจจับ และสร้าง Signature ได้แบบ Real-Time เพื่อปกป้องการโจมตี DDoS หรือ Tsunami Attack ได้อย่างครอบคลุม
Checkpoint พลิกโฉม พร้อมให้บริการเป็นแพลตฟอร์ม Security และ AI
องค์กรต้องพบเจอความท้าทายในเรื่อง Security ทุกวันซึ่งภัยอันตรายที่เกิดจากภายนอกองค์กร (External Treat) นั้นคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์โจมตีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว (Credential) หรือว่าถูกแอบอ้างเพื่อขโมยข้อมูล (Social Impersonation) และการมาถึงของ Generative AI ยิ่งทำให้การขโมยข้อมูลทำได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทำให้ Threat Landscape เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
Checkpoint จึงพลิกโฉมปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบริษัทแพลตฟอร์ม ที่พร้อมรองรับ “3 ร” ได้แก่
- รอบด้าน ที่พร้อมสนับสนุนได้ทั้งฝั่งผู้ใช้งาน Cloud และแอปพลิเคชันอย่างครอบคลุม
- ร่วมกัน ในการทำงานร่วมกันกับแต่ละโซลูชัน Security ได้ ซึ่งลดการทำให้เกิดไซโลในองค์กร
- รวมศูนย์ ในการจัดการเป็นโซลูชันให้เป็นแบบรวมศูนย์ (Unified) ให้ง่ายในการใช้งาน
และ Checkpoint ได้นำเอา AI มาสนับสนุนแพลตฟอร์ม Security ผ่าน 3 แกน ได้แก่
- Infinity AI Copilot เสริมการดำเนินการ Security ที่เป็นเสมือนผู้ช่วย AI บริการจัดการงานด้าน Security ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว โดย AI Copilot จะช่วยวิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ สรุปเหตุการณ์หรืออธิบายรายละเอียได้อย่างรวดเร็ว
- Real-Time Threat Prevention ด้วยข้อมูลของ Checkpoint ที่เชื่อมโยงกันแบบ Real-Time ทั่วโลก ช่วยตอบสนองต่อช่องโหว่ได้อย่างรวดเร็วที่สุด รวมทั้งมี AI จะช่วยตรวจสอบ Traffic ว่ามีโอกาสเป็น Phishing ในอีเมลที่ส่งหรือไม่ ก่อนที่จะถูกจารกรรมข้อมูลไป
- The Secure Use of AI การใช้งาน Generative AI ได้อย่างปลอดภัย ทำให้เกิดการมองเห็น (Visibility) ว่ามีการใช้งานเครื่องมือค่ายใดบ้าง ใช้ทำอะไร และมีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงอะไรบ้าง พร้อมช่วยปกป้องข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนไม่ให้รั่วไหลออกจากองค์กรได้
บทส่งท้าย
ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงาน “Connexting to the success” โดย The Practical Solution (TPS) ที่เซสชันบรรยายเข้มข้นตลอดทั้งวัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าองค์กรทุกขนาดจะต้องให้ความสำคัญในเรื่อง Cybersecurity และจะต้องให้ความสำคัญในการปกป้องทุกส่วน ทั้งอุปกรณ์ปลายทาง เน็ตเวิร์ก โครงข่ายภายในองค์กร โครงสร้างพื้นฐาน ฐานข้อมูล ฯลฯ ให้ดีที่สุด เพื่อความสำเร็จขององค์กรจะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
สำหรับองค์กรที่สนใจใช้งานโซลูชัน Cybersecurity ใด ๆ ที่บรรยายภายในงานนี้ สามารถติดต่อทาง The Practical Solution ได้ทันทีตามรายละเอียดด้านล่างนี้
- E-mail : marketing@thepractical.co.th
- Tel : +662-112-9999
- www.thepractical.co.th