ในปี 2021 นี้หากธุรกิจองค์กรแห่งใดมีแผนที่จะจัดซื้อเครื่อง Notebook ทำงานใหม่ให้กับผู้บริหารหรือพนักงานภายในองค์กร Dell Latitude นี้ถือเป็นหนึ่งใน Business Laptop รุ่นที่พลาดไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Dell Latitude รุ่นล่าสุดที่ใช้หน่วยประมวลผล 11th Gen Intel Core เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว
ในครั้งนี้ ทีมงาน Dell Technologies ได้ส่งเครื่อง Dell Latitude 7420 รุ่นล่าสุดมาให้เราได้ทดลองใช้งานกัน โดยรุ่นนี้ถือว่าโดดเด่นมากกับการที่เป็นรุ่นหนึ่งในตระกูล Intel Evo Platform ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดได้ด้วยการออกแบบและพัฒนาระบบร่วมกับ Intel โดยตรง ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไรนั้น มาอ่านกันในบทความรีวิวนี้กันได้เลยครับ

Intel Evo Platform รับรองประสิทธิภาพและการใช้งานด้วยประสบการณ์ที่ดี จากมาตรฐานของ Intel
ในปีนี้เราคงจะได้เห็นชื่อของ Intel Evo Platform กันอย่างต่อเนื่อง ในฐานะของตรารับรองจาก Intel ที่มีต่อ Notebook แต่ละเครื่องว่ามีประสิทธิภาพสูง ใช้เทคโนโลยีล่าสุด และสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติดังนี้
- ใช้หน่วยประมวลผล 11th Gen Intel® Core™ และกราฟฟิก Intel® Iris® Xe
- รองรับการเชื่อมต่อด้วยมาตรฐาน Wi-Fi 6
- มีแบตเตอรี่ใช้งานได้ไม่ต่ำกว่า 9 ชั่วโมงสำหรับจอแบบ FHD
- ขอบจอบาง เพื่อให้มีหน้าจอขนาดใหญ่ในบอดี้ขนาดเล็กได้
- สามารถเปิดใช้งานได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที และตอบสนองเร็วกว่าเครื่องรุ่นเก่า 2 ปีอย่างน้อย 40%
- สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 40GB/s ผ่าน Thunderbolt™ 4 ได้
Dell Technologies เองก็ถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับ Intel ซึ่ง Dell Latitude 7420 รุ่นที่เราได้มารีวิวในครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในเครื่องที่ได้รับการรับรองให้เป็น Intel Evo Platform ด้วยเช่นกัน
Dell Latitude 7420: โน้ตบุ๊คทำงานที่เน้นความเรียบง่าย ตอบโจทย์ได้ทั้งสำหรับผู้บริหารและพนักงาน

Dell Latitude 7420 นี้ถือเป็น Business Laptop และ Business 2-in-1 รุ่นเรือธงจาก Dell Technologies ที่เปิดตัวมาด้วยแนวคิดของการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาใส่ให้กับเครื่องโน้ตบุ๊คและ 2-in-1 รุ่นทำงาน เพื่อให้ผู้ใช้งานนั้นได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด และมี Hardware รุ่นใหม่ทันสมัย สามารถใช้งานได้นานโดยไม่ต้องห่วงว่าประสิทธิภาพในการใช้งานจะไม่เพียงพอ
ตัวเครื่องนี้มาพร้อมกับการรับรองด้วยตรา Intel Evo Platform จาก Intel ที่ได้อธิบายไปข้างต้น จึงมั่นใจได้อย่างแน่นอนในประสิทธิภาพ ด้วยตัวเครื่องที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล 11th Gen Intel Core i7 vPro รุ่นใหม่ล่าสุด i7-1185G7 รหัส Tiger Lake โดยมี 4 Cores / 8 Threads ให้ใช้งาน พร้อมติดตั้ง RAM ความเร็ว 4267MHz ได้ตั้งแต่ 4/8/16/32GB และยังติดตั้ง PCIe NVMe SSD ได้ตั้งแต่ 128/256/512/1024GB ได้ในตัว
ในแง่ของการเชื่อมต่อ Dell Latitude 7420 มาพร้อมกับ Thunderbolt 4 ถึงสองช่องที่สามารถใช้งานได้ทั้งแบบ DisplayPort/USB4/Power Delivery และยังมี USB 3.2 Gen 1 มาให้อีก 1 ช่อง กับ SD Card อีก 1 ช่อง พร้อมพอร์ตคอมโบสำหรับไมโครโฟนและหูฟัง รวมถึงยังมี HDMI สำหรับต่อจอแบบเก่าได้อีกด้วย โดยในการเชื่อมต่อเครือข่าย เครื่องนี้รองรับการเชื่อมต่อได้ถึง Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.1

ส่วนบอดี้ภายนอกนั้น สามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบอลูมิเนียมที่จะมีน้ำหนักเบาที่สุดโดยมีสีเงินที่ดูเรียบหรู และคาร์บอนไฟเบอร์ที่จะมีน้ำหนักเบาลงอีกเล็กน้อยแต่ดูแข็งแรงทนทานขึงขังมากกว่า โดยจอจะมีขนาด 14 นิ้ว สามารถใช้งานได้สบายๆ ไม่ปวดตา
ตัวเครื่องนี้มีกล้อง ลำโพง และไมโครโฟนพร้อมใช้ประชุมงานจากทุกสถานที่ได้ในตัว และยังมีที่ปิดกล้องมาให้เลยเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ รวมถึงยังสามารถเลือกออปชันเสริมให้สามารถเชื่อมต่อ 4G ได้ สำหรับรองรับการทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลาอย่างแท้จริง
Dell Latitude 7420 นี้ยังคงความเป็นเครื่องสำหรับใช้ทำงานในธุรกิจองค์กรอย่างเต็มตัว ด้วยการรองรับออปชันเสริมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจอที่มีความละเอียดหลายระดับ, การเข้ารหัสและการสำรองข้อมูล, Software เสริมความมั่นคงปลอดภัย, การแสกนลายนิ้วมือ รวมถึงระยะเวลาประกันตั้งแต่ 3-5 ปีตามแต่ต้องการ
ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dell Latitude 7420 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dell.com/th/business/p/latitude-14-7420-2-in-1-laptop/pd
แกะกล่องลองใช้ของจริง
เนื่องจากเครื่อง Dell Latitude 7420 นี้ทีมงาน TechTalkThai เป็นทีมแรกที่ได้รับมารีวิว เลยต้องรับหน้าที่เรื่องของการติดตั้ง Windows 10 ตั้งต้นให้เรียบร้อย และทำการอัปเดต Windows 10 กับ Firmware ทั้งหมดไปด้วยครับ ซึ่งก็ถือว่าดีเหมือนกัน เพราะจะได้สัมผัสประสบการณ์ตรงๆ เลยว่าถ้าภาคธุรกิจองค์กรซื้อไปใช้งานแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง
เปิดกล่องออกมาดูครั้งแรก ก็พบว่าในกล่องขนาดเล็กนี้มีของมาให้น้อยชิ้นมากครับ โดยนอกจากตัว Notebook และ Adapter ชาร์จไฟแล้ว ก็มีเพียงคู่มือแผ่นเล็กๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยนอกจากกระดาษกันกระแทกที่แข็งแรงมากๆ แล้ว ก็มีซองพลาสติกที่รีไซเคิลได้ห่อตัวอุปกรณ์มาเท่านั้น ก็เรียกได้ว่า Dell Technologies ตั้งใจลดขยะที่จะเกิดขึ้นในส่วนของพัสดุและการขนส่งจริงจังทีเดียวครับ
พอหยิบตัวเครื่องออกมาจากซอง ก็พบว่าสัมผัสของตัวเครื่องนั้นค่อนข้างดีทีเดียว ด้วยบอดี้แบบอลูมิเนียมที่ให้ความรู้สึกเรียบๆ เย็นๆ แต่แข็งแรงทนทาน หยิบยกเครื่องออกมาก็รู้สึกได้เลยครับว่ามันคือ Dell Latitude จริงๆ ทั้งด้วยน้ำหนักและความทนทานที่สัมผัสได้
เมื่อเปิดจอเครื่องขึ้นมา จุดที่สังเกตได้ค่อนข้างชัดเลยก็คือจอที่ขอบด้านข้างเล็กมาก ส่วนด้านบนก็มีกล้อง ไมโครโฟน และเซ็นเซอร์ต่างๆ ติดตั้งเอาไว้สำหรับใช้ลูกเล่นใหม่ๆ บนเครื่อง ส่วน Keyboard และ Touchpad ก็ออกแบบมาได้ถือว่าน่าใช้มาก ด้วย Layout ที่ดูสะอาดตาแต่ยังคงมีปุ่มอยู่ครบ และ Touchpad ที่มีขนาดใหญ่ ใช้งานได้เต็มๆ มือ
พอลองชาร์จไฟและเปิดเครื่องขึ้นมาใช้งาน ก็พบกับหน้าติดตั้ง Windows 10 ครั้งแรก ตั้งค่าพื้นฐานต่างๆ เช่นภาษา, การเชื่อมต่อ Wi-Fi, การสร้าง Account และอื่นๆ อีกเล็กน้อย เรียกได้ว่านั่งกดๆ ไป 2-3 นาทีก็เสร็จแล้วครับ จากนั้นก็รอเครื่องติดตั้งสิ่งต่างๆ อีกเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับสเป็คของเครื่องที่ได้มาใช้ทดสอบในครั้งนี้ เป็นดังนี้ครับ

- CPU: 11th Gen Intel Core i7-1185G7 @ 3.00GHz 1.80 GHz (4 Cores/8 Threads)
- RAM: 16GB 4267 MHz
- SSD: 512 GB, Gen 3 PCIe x4 NVMe SSD
- GPU: Intel Iris Xe
- OS: Windows 10 Pro
เมื่อเข้าไปใช้งานเครื่องได้แล้ว ก็พบว่าประสิทธิภาพที่รับประกันโดย Intel Evo Platform นี้เป็นของจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วของเครื่อง ความทนทานของแบตเตอรี่ การรองรับ Wi-Fi 6 หรือการปลุกเครื่องที่ Sleep อยู่มาใช้งานได้อย่างรวดเร็วนั้น เครื่องนี้ทำได้ครบหมด
ในการใช้งานปกติเครื่องจะเงียบดี แต่พอเริ่มทำการอัปเดต Windows อย่างจริงจังแล้ว พัดลมจะทำงานหนักขึ้นจนได้ยินเสียงพัดลมค่อนข้างชัด แต่เมื่ออัปเดตเสร็จก็กลับมาเงียบเหมือนเดิม ซึ่งตรงนี้จริงๆ แล้วในเครื่องจะมี Dell Power Manager ที่เอาไว้จัดการได้ว่าจะให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพและอาจมีช่วงที่เสียงพัดลมดังบ้าง หรือจะเน้นให้เครื่องเงียบๆ เป็นหลักก็ได้ ซึ่งตอนปรับให้เครื่องเงียบๆ นั้นก็ยังสามารถใช้ทำงานปกติได้ไม่รู้สึกติดขัดอะไร
ลูกเล่นหนึ่งที่ถูกเสริมเข้ามาใน Dell Latitude 7420 นี้ก็คือการเสริม Proximity Sensor เข้ามา ทำให้เครื่องสามารถตรวจจับได้ว่ามีผู้ใช้งานอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ โดยถ้าผู้ใช้งานไม่ได้อยู่หน้าเครื่อง เครื่องก็อาจทำการดับจอหรือล็อคเครื่องเอาไว้ และพอมีผู้ใช้งานเข้ามาใกล้ก็ค่อยเปิดจอขึ้นมาเข้าหน้า Login ให้โดยอัตโนมัติ เสริมทั้งความมั่นคงปลอดภัย ความสะดวกสบาย และการประหยัดพลังงานไปพร้อมๆ กัน
โดยสรุปแล้วในการทดลองใช้งานจริง มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ครับ
- ช่วงเริ่มใช้เครื่องแรกๆ และติดตั้ง Software หรืออัปเดตสิ่งต่างๆ นั้น พัดลมในเครื่องอาจจะทำงานเสียงดังหน่อยเพราะเร่ง CPU ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ แต่ในการใช้งานทั่วๆ ไปเครื่องจะเงียบมากๆ
- Keyboard ปุ่มใหญ่ ตอบสนองมือค่อนข้างดี ตอนใช้พิมพ์ผิดน้อยมากๆ ทั้งๆ ที่ใช้ครั้งแรก
- จอปรับมืดสุดสามารถใช้งานได้สบายๆ ไม่ต้องเกร็งตา ส่วนตอนปรับสว่างสุดก็สว่างมาก สู้แสงภายนอกอาคารได้สบาย โดยรวมแล้วถ้าปรับไฟให้พอดีกับที่จะใช้ก็ถือว่าสบายตา ใช้งานได้นานๆ ไม่ต้องกังวล
- มี Dell Command | Update, Dell Power Manager, Dell Optimizer และเครื่องมือหลากหลายของ Intel ให้พร้อมใช้ ปรับแต่งการทำงานของ Hardware ในเครื่องให้เป็นไปตามต้องการได้เลย โดยเฉพาะการทำงานของพัดลมและประสิทธิภาพของเครื่อง
- ตัว Driver ที่ติดตั้งมาให้นั้นใหม่มาก ใหม่จน Windows Update ระบุว่า Driver ใหม่กว่าที่ Update เพิ่งโหลดมา แต่นอกนั้นในการอัปเดตก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถทำได้ราบรื่น
- ลำโพง ถือว่าใช้งานได้เลย ใช้ประชุมไม่ติดปัญหาอะไร ใช้ฟังเพลงเสียงก็อาจจะไม่ใสเท่าลำโพงดีๆ
- น้ำหนักถือว่ากำลังดี สามารถยกไปมา เคลื่อนย้าย ใช้ทำงานนำเสนอได้สบายๆ
- แบตเตอรี่ทนมาก ตามสไตล์ Dell Latitude
- เปิดคลิป 4K ได้สบายๆ ใช้ GPU อย่าง Intel Irix Xe Graphics ประมาณ 30% เครื่องไม่ร้อน
- Adapter ชาร์จไฟมีขนาดเล็กกว่าของเครื่องรุ่นก่อนประมาณ 2-3 ปีที่แล้วมาก ทำให้พกพาไปได้ง่าย และเก็บสายชาร์จได้เรียบร้อยกว่าเดิม
โดยรวมแล้วก็ถือเป็นเครื่อง Business Notebook ที่ใช้งานได้ค่อนข้างดีเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน Web Application, การจัดการงานเอกสาร, การประมวลผลข้อมูล, การนำเสนอผลงาน หรือแม้แต่การใช้ด้านความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการชมคลิปหรือดูหนังก็ยังใช้ได้อยู่ ส่วนความรู้สึกในการใช้งานก็คือการใช้เครื่องสำหรับการทำงานจริงๆ เลย ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นของเล่นหรือ Gadget สนุกๆ แต่เป็นเครื่องที่ซื้อมาใช้ทำงานจริงจังเท่านั้น
สรุปข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- ยังคงสไตล์ของ Dell Latitude ที่สวย เรียบ ทน เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
- ปลุกเครื่องมาใช้งานต่อได้เร็ว ตามข้อกำหนดของ Intel Evo Platform ที่ต้องปลุกเครื่องขึ้นมาใช้งานได้ภายใน 1 วินาที
- ใช้ Hardware ใหม่ล่าสุดแทบทุกส่วนในเครื่อง ลงทุนซื้อไปใช้งานแล้วใช้ต่อได้นาน ไม่ต้องรีบเปลี่ยนเครื่อง
- เลือกบอดี้ได้สองแบบ ทั้งแบบอลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ ใครชอบสัมผัสแบบไหนก็ซื้อแบบนั้นไปใช้ได้เลย
- มีพอร์ต USB-C ทั้งสองข้างของเครื่อง ต่อจอได้ทั้งคู่ ใช้งานจริงค่อนข้างสะดวก
- ยังมีพอร์ต HDMI ให้ใช้งานอยู่
- Touchpad ใหญ่ใช้งานสะดวก Keyboard ปุ่มใหญ่พิมพ์งานง่ายพอสมควร
- มีแผ่นปิดกล้องด้านบนให้เลย ไม่ต้องซื้อสติกเกอร์มาติดเอง และเปิดใช้งานได้ตามต้องการ
- ใช้ Wi-Fi 6 และมีออปชัน 4G ให้เสริมได้
- ต้องออกแรงกดปุ่ม Power พอสมควร เป็นข้อดีว่าเวลาเอาไปวางอยู่บนมุมขวาบนของเครื่องแล้ว ถึงนิ้วจะไปเผลอโดนเครื่องก็ไม่ดับแน่นอน
- Proximity Sensor ใช้งานได้ดี ประหยัดสเต็ปในการปลุกเครื่องลงไปได้เล็กน้อย
ข้อเสีย
- เวลาพัดลมทำงานเสียงจะดังจนสังเกตได้ แต่ใช้งานทั่วไปก็ไม่ค่อยมีกรณีนั้น ยกเว้นจะมี Windows Update
- ถ้าทำงานหนักๆ อุณหภูมิเครื่องจะสูงจนจับแล้วรู้สึกอุ่นหรือร้อนนิดๆ ได้ แต่ก็ไม่ได้เกิดเคสนี้บ่อยยกเว้นตอนติดตั้งเครื่องครั้งแรกและทำการอัปเดตครั้งใหญ่
- น้ำหนักเครื่องประมาณ 1.3 กิโลกรัมถือว่ากำลังดีสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคนก็อาจจะหนักไปนิดหน่อย ก่อนซื้ออาจต้องมาลองใช้เครื่องจริงดูก่อนจะได้รู้ว่าน้ำหนักพอดีกับที่เราต้องการหรือไม่
- ปุ่ม Page Up/Page Down เป็นปุ่มเดียวกับปุ่มลูกศรขึ้นลง ต้องกด Fn ค้างไว้ถ้าจะใช้ ดังนั้นใช้ที่ใช้ Page Up/Page Down บ่อยๆ อาจต้องเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้ Scroll บน Touchpad แทนครับ จะทำให้ยังทำงานมือเดียวได้อยู่
- ไม่มีพอร์ต RJ-45 และหัวแปลงมาให้
สนใจติดต่อทีมงาน Dell Technologies ได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจ Dell Latitude รุ่นใหม่ที่ใช้ 11th Gen Intel Core และ Windows 10 Pro สามารถติดต่อทีมงาน Dell Technologies ได้ทันทีที่ อีเมล Chidchanok.uthaigorn@dell.com โทร 090-949-0823 (วศิน) หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ https://www.delltechnologies.com/en-us/latitude/index.htm#