Dylan Katz และ Victor Gevers สองนักวิจัยด้านความมั่นคงปลอดภัยออกมาแจ้งเตือนถึงการโจมตี MongoDB เพื่อเรียกค่าไถ่หรือที่รู้จักกันในนาม MongoDB Apocalypse ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มีผู้ตกเป็นเหยื่อแล้วมากกว่า 26,000 ราย
MongoDB Apocalypse ถูกตรวจพบครั้งแรกเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2016 จนถึงเดือนมกราคม 2017 ที่ผ่านมา โดยกลุ่มแฮ็คเกอร์ได้สแกนระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาฐานข้อมูล MongoDB ที่เปิดการเชื่อมต่อจากภายนอก จากนั้นเจาะผ่านช่องโหว่เพื่อลบข้อมูลภายใน และแนบข้อความเรียกค่าไถ่แลกกับการได้ข้อมูลกลับคืนมา ซึ่งจากการตรวจสอบพบพบว่าฐานข้อมูลส่วนใหญ่ที่ถูกแฮ็คเป็นฐานข้อมูลที่ใช้ทดสอบ แต่บางระบบมีข้อมูลการใช้งานจริงอยู่ ส่งผลให้บางบริษัทยอมจ่ายค่าไถ่ อย่างไรก็ตาม ค้นพบภายหลังว่าการเรียกค่าไถ่แลกกับข้อมูลเป็นเรื่องหลอกลวง เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดถูกลบไปเรียบร้อยแล้ว
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นค้นพบว่ากลุ่มแฮ็คเกอร์สามารถโจมตีฐานข้อมูล MongoDB ไปเป็นจำนวนมากถึง 45,000 เครื่อง จากนั้นการโจมตีก็เริ่มลดลงจนแทบจะหายไป อย่างไรก็ตาม เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่ามีกลุ่มแฮ็คเกอร์อย่างน้อย 3 กลุ่มได้เริ่มโจมตี MongoDB เพื่อเรียกค่าไถ่ระลอกใหม่ โดยมีผู้ตกเป็นเหยื่อแล้วกว่า 26,000 ราย ซึ่งหนึ่งในสามกลุ่มนั้นสามารถโจมตีเป้าหมายได้มากถึง 22,000 เครื่อง
ถึงแม้ว่าจำนวนการโจมตีจะน้อยกว่าครั้งก่อน แต่ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน กลุ่ม Cru3lty สามารถโจมตีเหยื่อได้มากถึงครึ่งหนึ่งของที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อนที่ใช้เวลาถึงเกือบ 1 เดือน จึงเป็นไปได้สูงมากที่การโจมตีจะถูกแพร่กระจายไปยังเป้าหมายอื่นๆ มากกว่านี้
นอกจากนี้ Gevers ยังค้นพบอีกว่า หลังจากที่กลุ่มแฮ็คเกอร์เข้าควบคุมฐานข้อมูลของเหยื่อได้แล้ว เหยื่อพยายาม Restore ฐานข้อมูลกลับขึ้นมาใหม่จาก Backup ที่มีอยู่ ซึ่งน่าจะจบไป แต่เขากลับพบว่าฐานข้อมูลนั้นถูกโจมตีอีกครั้งในวันเดียวกัน เนื่องจากเหยื่อขาดทักษะหรือไม่สามารถหามาตรการควบคุมมาป้องกันการโจมตีของแฮ็คเกอร์ได้ทันท่วงที