CDIC 2023

[Guest Post] กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมนำนวัตกรรมสู้โควิด-19 จับมือหัวเว่ย นำเทคโนโลยี AI เสริมประสิทธิภาพการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำขึ้น สู่โรงพยาบาลรามาธิบดี

[31 มีนาคม 2563, กรุงเทพฯ ประเทศไทย] – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมสนับสนุนนำเทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพการรักษาโควิด-19 ให้แก่วงการแพทย์ไทย จับมือหัวเว่ย ประเทศไทย ส่งมอบโซลูชัน AI ให้แก่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์รูปภาพทางการแพทย์เชิงปริมาณ เพื่อรายงานผลตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ในผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อโควิด-19 ลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ผลที่จะเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยเวลาเพียง 25 วินาทีต่อหนึ่งเคส

การนำนวัตกรรม AI ของ HUAWEI CLOUD ในด้านคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) มาใช้เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ไทยในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำประสิทธิภาพการใช้งานของบริการ HUAWEI CLOUD ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะระดับโลกรายแรกในประเทศไทยเพื่อลดความเสี่ยงและลดการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์และสาธารณสุขของไทยในการรับมือสถานการณ์โควิด-19

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงความร่วมมือในการมอบเทคโนโลยี AI ให้แก่โรงพยาบาลชั้นนำของรัฐครั้งนี้ว่า “การตรวจวินิจฉัยทาง CT เป็นหนึ่งในวิธีมาตรฐานของการตรวจโควิด-19 แต่การตรวจด้วยวิธีดังกล่าวต้องทำซ้ำและอ่านภาพหลายครั้ง เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในไทยซึ่งกำลังรับมือกับสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 อยู่ในขณะนี้ กระทรวงฯ จึงได้ร่วมกับหัวเว่ย นำโซลูชัน AI จาก HUAWEI CLOUD สำหรับการวิเคราะห์รูปภาพทางการแพทย์เชิงปริมาณ ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์วิทัศน์และการวิเคราะห์รูปภาพทางการแพทย์ มาช่วยลดภาระงานของบุคลากร ในฝ่ายรังสีวิทยา ทั้งยังสามารถส่งมอบผลตรวจแบบ CT quantification โดยอัตโนมัติได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ”

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ปัญญาประดิษฐ์นี้ช่วยให้แพทย์นำมาใช้วินิจฉัยผลตรวจ CT ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติของปอด โดยนำข้อมูล CT ของคนไข้ส่งไปบนระบบ CLOUD เพื่อวินิจฉัยโรคและยังสามารถระบุได้ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ในระยะเริ่มต้น ระยะลุกลาม หรือระยะรุนแรง โดยใช้เวลาประมวลผลเพียง 25 วินาทีต่อ 1 เคส นับว่าเป็นเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคลากรทางการแพทย์ไทยในการรับมือสถานการณ์ในขณะนี้ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่คนไข้เข้ามาด้วยอาการหอบเหนื่อยในตอนต้น เพื่อช่วยในการวินิจฉัยได้อย่างทันท่วงที โดยไม่รอการตรวจในขั้นตอนอื่นๆ”

การตรวจแบบ CT เป็นหนึ่งในวิธีวินิจฉัยและรักษาโควิด-19 แต่การตรวจด้วยวิธีดังกล่าวต้องทำซ้ำและอ่านภาพหลายครั้ง เพื่อหารอยในปอดที่มีจำนวนมากและยังเกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นการเพิ่มงานให้กับรังสีแพทย์ในไทยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ จำนวนบุคลากรรังสีแพทย์ที่สามารถวิเคราะห์และวินิจฉัยโควิด-19 ได้อย่างแม่นยำยังมีจำกัด เทคโนโลยี AI จาก HUAWEI CLOUD นี้จะทำหน้าที่วิเคราะห์รูปภาพทางการแพทย์เชิงปริมาณจากการตรวจวินิจฉัยทางเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ปอดของผู้ป่วย เพื่อวิเคราะห์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Novel coronavirus, SARS หรือ COV) และผู้ป่วยโควิด-19 โดยโรงพยาบาลในประเทศจีนกว่า 20 แห่งได้นำโซลูชันนี้ปรับใช้เพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งหลังจากได้รับการปรับแต่งระบบและฝึกอบรมบุคลากรเพิ่มเติม ส่งผลให้โซลูชัน AI จาก HUAWEI CLOUD นี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีอัตราความแม่นยำในการวินิจฉัยสูงถึง 96% และได้รับคะแนน DICE score สูงกว่า 85 คะแนน การนำนวัตกรรม AI ของ HUAWEI CLOUD มาใช้เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ไทยในครั้งนี้ จึงช่วยลดช่วยตอนการตรวจ ช่วยลดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ในขณะนี้ได้ดียิ่งขึ้น

ที่ผ่านมา บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) ได้ส่งมอบระบบนวัตกรรมสื่อสารทางไกลเพื่อการแพทย์ Huawei Telemedicine Video Conference Solution ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของแผนรับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยระบบดังกล่าวเป็นระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์แบบเรียลไทม์เต็มรูปแบบที่สามารถช่วยให้การดำเนินงานของบุคลากรแพทย์ในประเทศไทยมีความคล่องตัว สามารถตรวจวินิจฉัยได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์มือถือของตน และที่สำคัญคือยังช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อให้แก่ทีมแพทย์ในไทยด้วยเช่นกัน

# # #

เกี่ยวกับหัวเว่ย

หัวเว่ย ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสมาร์ทดีไวซ์ ด้วยโซลูชั่นที่ผสมผสานในสี่กลุ่มหลัก คือ เครือข่ายโทรคมนาคม, ไอที, สมาร์ทดีไวซ์ และบริการคลาวด์ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่การใช้งานทุกระดับเพื่อทุกผู้คน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ ผลิตภัณฑ์ 5G เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญของ Huawei โซลูชั่นและบริการที่ครบวงจรของหัวเว่ยเปี่ยมด้วยศักยภาพด้านการแข่งขันและเชื่อถือได้ จากการทำงานร่วมกับพันธมิตรในระบบนิเวศแบบเปิด หัวเว่ยสามารถสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับลูกค้า เสริมสมรรถนะของผู้คน ช่วยให้การใช้ชีวิตที่บ้านมีความสะดวกสบาย และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดนวัตกรรมในองค์กรทุกรูปแบบและทุกขนาด นวัตกรรมของหัวเว่ยเน้นตอบสนองตามความต้องการของลูกค้า เราทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลในด้านการวิจัย เน้นค้นหานวัตกรรมด้านเทคนิคใหม่ ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนโลกของเราให้ก้าวไปข้างหน้า เรามีพนักงานกว่า 180,000 คน ดำเนินธุรกิจในกว่า 170 ประเทศทั่วโลก หัวเว่ยก่อตั้งขึ้นในปี 2530 และเป็นบริษัทเอกชนที่มีพนักงานเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของหัวเว่ย ได้ที่ https://activity.huaweicloud.com/intl/en-us/fight-covid-19.html?utm_source=Techtalkthai_intl&utm_medium=pr&utm_campaign=fightCOVID19_0330

ติดตามเราได้ที่


About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัว Dell APEX Cloud Platform for Microsoft Azure ส่งมอบนวัตกรรมไฮบริดคลาวด์สำหรับองค์กร [Guest Post]

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกาศความพร้อมของ Dell APEX Cloud Platform for Microsoft ระบบเทิร์นคีย์แบบบูรณาการที่ได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ เพื่อเสริมเพิ่มเติมประสบการณ์ Microsoft Azure ไฮบริดคลาวด์ ไปยังสภาพแวดล้อมของดาต้าเซ็นเตอร์และระบบเอดจ์ปลายทาง

เชิญร่วมงานสัมมนาออนไลน์ Unlock the Limits of Your SAP System with Google Cloud โดย Tangerine [18 ต.ค. 2023]

พลาดไม่ได้! สำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ SAP ซึ่งนับเป็นระบบสำคัญที่อยู่เบื้องหลังในการดำเนินธุรกิจให้สำเร็จ ซึ่งภายใต้การแข่งขันที่สูงขึ้นความสำคัญก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ฉะนั้นจะทำอย่างไร? ให้ธุรกิจสามารถรองรับการใช้งานตามความต้องการที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และจะดีกว่าหรือไม่ หากสามารถนำข้อมูลภายใน SAP มาประยุกต์ใช้กับข้อมูลภายนอก สร้าง Analytics Dashboard ได้ง่ายและรวดเร็ว …