เมื่อ Hyper-Converged Infrastructure หรือ HCI นั้นได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดธุรกิจองค์กร การพัฒนาเทคโนโลยีต่อยอดนั้นก็เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง HPE ก็ได้ทำการเปิดตัว HPE SimpliVity 4.0 ซึ่งเป็น Major Upgrade ครั้งใหญ่ที่ได้เพิ่มความสามารถที่น่าสนใจเข้ามาหลากหลายประการ ดังนี้
1. บริหารจัดการจากศูนย์กลางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใน HPE SimpliVity 4.0 นี้ได้มีการเปิดตัว Management Virtual Appliance (MVA) สำหรับใช้เป็นตัวกลางในการสื่อสารเพื่อบริหารจัดการระบบทั้งหมดจากศูนย์กลาง เพื่อลดความซับซ้อนในการสื่อสารระหว่าง Node และง่ายต่อการเพิ่มขยายระบบ โดย MVA นี้จะถูกติดตั้งมาตั้งแต่ตอนเริ่ม Initial ระบบเป็นครั้งแรกมาให้เลย โดยสำหรับการติดตั้งที่มีจำนวน Node น้อยกว่า 10 Node นั้น MVA จะเป็นเพียงแค่ Optional แต่สำหรับการติดตั้งระบบที่ใหญ่เกินกว่านั้น MVA จะถูกบังคับให้ติดตั้งใช้งาน ซึ่งในธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ที่ต้องการเพิ่ม Resource เพื่อตอบรับในการเติบโตยังก้าวกระโดด
การใช้ MVA นี้จะช่วยให้ภาพรวมของ Cluster สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากระบบสามารถลดปริมาณทราฟฟิกที่ต้องใช้ในการสื่อสารระหว่างกันในการบริหารจัดการลงไปได้นั่นเอง
2. รองรับการทำ Role-Based Access Control แบ่งสิทธิ์การบริหารจัดการได้ดีขึ้น
จากความสามารถในการทำ All-In-One HCI Appliance นั้นทาง HPE SimpliVity ได้ผนวกความสามารถในเรื่องของการทำ Backup Software ได้ถูกติดตั้งอยู่ในระดับ Kernel ของ HPE SimpliVity ทำให้การ Backup นั้นลดเวลา และลดค่าใช้จ่ายสำหรับ 3rd Party Software และการทำการ Backup นั้นได้มีการแยก Role ในการเข้าถึงเพื่อให้องค์กรสามารถแบ่งสิทธิ์ในการบริหารการจัดการได้เป็นอย่างดี ซึ่ง
ใน HPE SimpliVity 4.0 นี้มีการนำเสนอ Role เพิ่มเติมด้วยกัน 2 ส่วน ได้แก่
SimpliVity Administrator โดยผู้ที่มีสิทธิ์เป็น VMware Administrator Role นั้นจะได้รับสิทธิ์ของ SimpliVity Administrator Role ไปด้วยโดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถลดขั้นตอนการกำหนดสิทธิ์ลงไปได้มากทีเดียวสำหรับระบบขนาดใหญ่
SimpliVity Backup User สำหรับจัดการงานที่เกี่ยวกับการสำรองและกู้คืนระบบเป็นหลัก โดยสามารถทำ Backup, Restore และ Backup Search ได้เท่านั้น
3. ติดตั้งใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งขึ้น
เดิมทีนั้นการใช้งาน HPE SimpliVity Federations จะต้องมีการติดตั้ง Arbiter เพื่อให้ระบบทำงานได้สมบูรณ์ แต่สำหรับ HPE SimpliVity 4.0 นี้ การติดตั้ง Arbiter จะจำเป็นก็ต่อเมื่อมีการติดตั้งระบบแบบ 2+0 หรือทำ Stretch Cluster เท่านั้น ทำให้ในภาพรวมแล้วระบบสามารถออกแบบได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และการติดตั้ง Arbiter ในบางกรณีก็อาจช่วยให้ระบบมีความมั่นคงทนทานสูงขึ้นด้วย ซึ่งทำให้การใช้งานของ HPE SimpliVity นั้นสามารถออกแบบได้อย่างมีความสะดวกในการใช้งานได้เป็นอย่างดี
4. รองรับการสำรองข้อมูลร่วมกับ HPE StoreOnce
HPE SimpliVity 4.0 มีฟีเจอร์สำหรับการทำการสำรองข้อมูล ซึ่งตอบสนองกับตามมาตรฐานของการ Backup ที่ดี ด้วย กฏ 3-2-1 (3 ชุด ข้อมูล , 2 อุปกรณ์ในการจัดเก็บ , 1 Data Offsite) และในอัปเดตนี้ก็ได้เพิ่มความสามารถในการสำรองข้อมูลของ VM ไปยัง HPE StoreOnce เข้ามา ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถใช้พื้นที่บนระบบของ HPE SimpliVity ได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น และรองรับการสำรองข้อมูลได้หลายระดับมากขึ้นด้วย ซึ่งทาง HPE SimpliVity ก็ได้เพิ่มสิ่งนี้เพื่อตอบสนองกับธุรกิจที่ กังวลในปัญหาในเรื่องความเสี่ยงของ Virtus หรือ Ransomeware ได้เป็นอย่างดีด้วยค่าใช้จ่ายที่ประหยัด
ยังมีความสามารถอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
นอกจากนี้แล้วในความสามารถที่ปรับปรุงเพิ่มเติมขึ้นมานั้นทาง HPE SimpliVity ได้เพิ่มความสามารถเพื่อตอบสนองกับการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมากเช่น
- Rancher on HPE SimpliVity : เพื่อการรองรับเทคโนโลยีของ Microservice (Containers) ได้ออกเอกสารการติดตั้งและใช้งานบนเทคโนโลยีของ Rancher ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับองค์กรที่กำลังเริ่มปรับตัวเข้าสู่การพัฒนาของ Container Service ได้เป็นอย่างดี (https://hewlettpackard.github.io/Rancher-on-SimpliVity/MVI1/summary.html)
- HPE SimpliVity File (Ctera) : รองรับการทำเรื่องของ NAS และ Collaboration ของข้อมูลเพื่อให้บริษัทสามารถรวมศูนย์กลางของข้อมูลเพื่อรองรับ การ Share Data ภายในองค์กร และ นอกองค์กร ซึ่งรองรับมาตรฐาน DLP or GDPR ที่เหมาะสมในปัจจุบัน
- RapidDR 3.1 : ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำ DR Orchestrator ที่ตอบโจทย์เรื่องการรองรับแผน Business Continutity Plan (BCP) ซึ่งซอฟต์แวร์ของทาง HPE SimpliVity นั้นมีค่าใช่จ่ายที่คุ้มค่ากว่าซอฟต์แวร์ชนิดอื่นในตลาดด้วยกัน
นอกจาก 4 ความสามารถข้างต้น ใน HPE SimpliVity 4.0 เองนี้ก็ยังมีความสามารถใหม่ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่การปรับปรุงการอัปเกรดและการติดตั้งให้ดียิ่งขึ้น, การปรับปรุง CLI ให้แสดงผลข้อมูลได้ดีขึ้น, การปรับปรุง UI ให้สามารถตรวจสอบสถานะการสำรองข้อมูลได้ ไปจนถึงการออกหน้า UI ใหม่สำหรับ RapidDR 3.1 โดยเฉพาะ
สนใจโซลูชันของ HPE ติดต่อ Metro Connect
สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันใดๆของ HPE สามารถติดต่อทีมงาน Metro Connect เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม, ทดสอบระบบ หรือขอใบเสนอราคาได้ทันทีที่แผนกการตลาด อีเมล์ anutrwan@metroconnect.co.th หรือโทรติดต่อ 02-089-4508