ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา Gartner, Inc บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชื่อดังของสหรัฐฯ ได้ประกาศ Magic Quadrant สำหรับ Enterprise Network Firewall ประจำปี 2015 ออกมา ซึ่งในปีนี้ Palo Alto และ Check Point ก็ยังคงครองตำแหน่ง Leader อยู่เช่นเดิม รองลงมาคือ Fortinet และ Cisco ที่รั้งอยู่ตำแหน่ง Challengers
อ่านรายละเอียดฉบับเต็มผ่านช่องทางของ Palo Alto ได้ที่: http://connect.paloaltonetworks.com/gartner-mq-2015
คำนิยามของ Enterprise Network Firewall
เงื่อนไขของการเป็น Enterprise Network Firewall คือ ผลิตภัณฑ์ต้องรองรับการติดตั้งไฟร์วอลล์แบบใช้งานได้ทุกฟังก์ชันในฮาร์ดแวร์เดียว, รองรับการติดตั้งขนาดใหญ่และซับซ้อน รวมทั้งใช้งานกับสาขา และทำ DMZ แบบหลายโซนได้ (Multitiered Demilitarized Zones) นอกจากนี้ ต้องมีตัวเลือกในการใช้งานแบบ Virtualization ได้
Next Generation Firewall (NGFW) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างดีที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากรองรับฟังก์ชันด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย เช่น สามารถตรวจจับและควบคุมการใช้งานแอพพลิเคชันและผู้ใช้งานได้, มีระบบป้องกันภัยคุกคามที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น IPS, Sandboxing และ Threat Intelligence รวมไปถึงสามารถทำ SSL VPN ได้ NGFW มีการออกแบบฮาร์ดแวร์ และปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพที่สูงกว่า เพื่อให้รองรับการใช้งานในธุรกิจขนาดใหญ่ได้
* เกี่ยวกับ Magic Quadrant: แกน X แสดงถึงวิสัยทัศน์ของ Vendor ว่าผลิตภัณฑ์ของตนตอบโจทย์ลูกค้า และความคาดหวังในอนาคตมากน้อยแค่ไหน และแกน Y แสดงถึงส่วนแบ่งทางการตลาด (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ Magic Quadrant ของ Gartner)
Check Point Software Technologies
ผลิตภัณฑ์ของ Check Point ประกอบด้วย NGFW, Threat Prevention, Web Security, Endpoint, Mobile Security, Cloud Security และ DDoS Solution มีสายการผลิตทั้งหมด 17 Appliances และ 2 Chassis สำหรับ Hardware Blade ซึ่งรองรับการทำงานสูงสุดที่ 400 Gbps นอกจากนี้ยังรองรับการติดตั้งแบบ Virtual Appliance ลูกค้าสามารถเพิ่มความความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามได้ โดยเพิ่มระบบการตรวจจับ Advanced Threat (Check Point Threat Cloud) และระบบ Threat Intelligence (Check Point Intellistore) ได้
จุดเด่นของ Check Point คือ มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และเป็นหนึ่งในตัวเลือกสุดท้ายขององค์กร ผลิตภัณฑ์มีความสามารถหลากหลาย และสามารถติดตั้งได้ในทุกสภาวะแวดล้อม รวมทั้งสามารถขยายการใช้งานให้รองรับการทำงานในระบบขนาดใหญ่ได้ แต่การบริหารจัดการกลับง่ายและไม่ยุ่งยากซับซ้อน
เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยเครือข่ายโดยเฉพาะ โดยเริ่มให้บริการเมื่อปี 2007 โดยรู้จักกันดีในนามของผลิตภัณฑ์ที่ริเริ่มฟีเจอร์การควบคุมการใช้งานแอพพลิเคชัน และการเพิ่มฟีเจอร์ IPS มาไว้ในตัวเอง ปัจจุบัน Palo Alto มีผลิตภัณฑ์รวม 18 รุ่น โดย PA-7050 รุ่นใหญ่สุดรองรับการทำงานสูงสุดที่ 120 Gbps นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Endpoint Control, ระบบ Sandboxing บนคลาวด์ (WildFire) และรองรับการทำงานแบบ Virtual Appliance ได้
จุดเด่นของ Palo Alto คือ มีการควบคุมแอพพลิเคชันและระบบ IPS ดีกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ รวมทั้งมีสถาปัตยกรรมแบบ Single-pass Parallel ซึ่งช่วยให้ได้ประสิทธิภาพที่สูง และเป็นหนึ่งในตัวเลือกสุดท้ายขององค์กรเช่นเดียวกับ Check Point นอกจากนี้ WildFire ยังเป็นระบบสำหรับตรวจจับ Advanced Threat บนคลาวด์ยอดนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าที่ใช้งาน
สำหรับผลิตภัณฑ์ใน Quadrant อื่นๆ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ http://connect.paloaltonetworks.com/gartner-mq-2015