การทำงานแห่งอนาคต ชาญฉลาดไปพร้อมกัน กับ Ingram Micro (Thailand)

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยกับงาน “Better Work Together: The Future of Intelligence” ที่ทาง บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) หรือ Ingram Micro (Thailand) ได้จัดขึ้นในวันที่ 2 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ ภายในงาน Ingram Micro ได้พาผู้เข้าร่วมงานอัปเดตเทคโนโลยีและโซลูชันสำหรับเทรนด์การทำงานยุคใหม่ของพาร์ตเนอร์มากมาย ที่จะยกระดับให้มีผลิตภาพ (Productivity) มากยิ่งขึ้น 

ไม่ว่าจะเป็น AI, Copilot, Automation, Security หรืออุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ ทั้งหมดคือสิ่งที่จะปลดล็อกการสื่อสารและทำงานร่วมกันให้ไหลลื่นมากขึ้นในเทรนด์การทำงานแบบ Hybrid Work ในอนาคต ซึ่งภายในงาน Ingram Micro ได้นำเสนอหลากหลายโซลูชันครบถ้วนแบบ “End-To-End AI Ecosystem” เพื่ออนาคตที่ชาญฉลาดมากกว่าเดิม มีโซลูชันอะไรในงานบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้

AI ได้กลายเป็นเทรนด์หลักของโลกหลังจากการมาถึงของ Generative AI ทาง Ingram Micro นำโดยคุณพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ชี้ให้เห็นว่าทางบริษัทมีความพร้อมในการสนับสนุนความต้องการใช้งาน AI สอดรับตามเทรนด์ได้แบบ End-To-End AI Ecosystem หรือมีผลิตภัณฑ์ AI พร้อมให้บริการแบบ End-To-End

“Ingram Micro มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ มี Know How มี Use Case อยู่มากมาย เราสามารถนำเอา Use Case ในต่างประเทศมาปรับใช้ในประเทศไทยได้” คุณพรเทพ กล่าว “การจัดจำหน่าย และให้บริการกับพาร์ทเนอร์เราเน้นนำเสนอโซลูชัน และสร้าง Use Case ให้กับลูกค้า ซึ่งในประเทศไทย Ingram Micro มีเทคโนโลยี AI Stack แบบ End-To-End อย่างครบวงจร”

คุณพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด

เพราะความต้องการของ AI ที่พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ “โครงสร้างพื้นฐาน” สำหรับการประมวลผลใช้งานจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Computing, Network, Data Storage, Software, Operation, Security, Cloud, IoT ฯลฯ ซึ่งคุณพรเทพได้แสดงให้เห็นว่า Ingram Micro พร้อมให้บริการตาม AI Technology Stack อย่างครบถ้วน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้นี้

เพราะยุคนี้คือการทำงานร่วมกับ AI ที่จะทำให้วิธีและรูปแบบการทำงานชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Microsoft พร้อมสนับสนุนด้วย Copilot ที่ฝังอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ของพอร์ตโฟลิโอ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft 365, Windows, Dynamics, Security, Fabric, GitHub หรือแม้กระทั่ง Power Platform ที่ปัจจุบันมี Generative AI ช่วยสนับสนุนการทำงานให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ลดเวลาการทำงานน้อยลงกว่าเดิม

โดยองค์กรสามารถประยุกต์ใช้ Copilot for Microsoft 365 ได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็น 

  • Copilot Connectors เชื่อมโยง Copilot กับข้อมูล ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถค้นหาและเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลธุรกิจที่องค์กรมีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว
  • Copilot Extensions เชื่อมโยง Copilot ภายในกระบวนงานและแอปพลิเคชันในการทำงาน เพื่อปรับเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานด้วยขีดความสามารถใหม่ ๆ ของ AI ที่สามารถเร่ง Productivity ให้การทำงานทุกวันให้มีความชาญฉลาด ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น
  • Copilot Studio เครื่องมือสนับสนุนการปรับแต่ง Copilot หรือสร้าง Copilot Extensions ให้ตรงกับความต้องการการใช้งานขององค์กร เพื่อให้หลาย ๆ กระบวนการมีความอัตโนมัติมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และ “Microsoft Copilot Studio” ที่สนับสนุนให้องค์กรสามารถปรับแต่ง Copilot ของตัวเองขึ้นมาใช้งานได้ จะทำให้องค์กรสามารถสร้าง Copilot ขององค์กรเองไปเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลภายในองค์กรหรือในอินเทอร์เน็ต กำหนดขั้นตอน Workflow ใหม่ตามไอเดียที่จะช่วยเพิ่ม Productivity ได้มากขึ้น เช่น นำ Copilot เชื่อมโยง DocuSign เพื่อถามตอบข้อมูลในเอกสาร หรือดำเนินการขั้นตอนต่อไปให้ตามเงื่อนไข 

สำหรับองค์กรที่มีการใช้งาน Copilot for Microsoft 365 อยู่แล้ว จะสามารถใช้งาน Microsoft Copilot Studio ในการปรับแต่ง Copilot ได้แล้ววันนี้ ซึ่ง Copilot Studio ยังมีเวอร์ชัน Standalone ที่สามารถต่อยอดไปใช้งานในช่องทาง (Channel) ที่หลากหลายมากกว่าเวอร์ชันที่แถมมาให้อีกด้วย รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่นี่

ยุคที่องค์กรต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) จึงจะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในโลกธุรกิจได้ การมีเครื่องมือที่พร้อมดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลได้ในทุกขั้นตอน จะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ ทำให้การจัดเก็บข้อมูล ทำความสะอาด ประมวลผล ไปจนถึงการวิเคราะห์และแสดงผลออกมาเป็น Visualization และต่อยอดในการสร้าง AI นั้นมีความไร้รอยต่อได้มากยิ่งขึ้น

งานนี้ ทาง Ingram Micro จึงแนะนำให้รู้จักกับ “Microsoft Fabric” ที่จะทำให้องค์กรไม่ว่าจะเป็นขนาด SME หรือขนาดใหญ่ Enterprise ล้วนสามารถลดจำนวนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำ Data Analytics ลงไปได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะ Microsoft ได้ยุบรวมทุกบริการในการทำเรื่องข้อมูลให้กลายเป็นบริการ SaaS อยู่บนแพลตฟอร์ม Microsoft Fabric ที่สามารถทำได้ในทุกขั้นตอนของเรื่องข้อมูลแล้ว

โดยภายในแพลตฟอร์ม Microsoft Fabric นี้ จะมีเครื่องมือพร้อมใช้ในงานด้านข้อมูลอย่างครบถ้วน ตั้งแต่พื้นที่จัดเก็บ OneLake ส่งต่อข้อมูลไปยัง Lakehouse เพื่อประมวลผล แปลงข้อมูล (Transformation) ให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมสำหรับการทำวิเคราะห์ แล้วส่งต่อไปที่ Power BI เพื่อสร้าง Vitualization ทำ Dashboard นำเสนอได้ทันที 

ไม่ว่าจะเป็นทีม Data แบบใด สามารถทำงานร่วมกันได้บนแพลตฟอร์ม Microsoft Fabric ได้แล้ววันนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่นี่

อีกหนึ่งเครื่องมือ Generative AI ที่ทีมงาน Ingram Micro มานำเสนอ คือ “Gemini for Google Workspace” หรือก่อนหน้านี้คือ Duet AI ที่จะเปลี่ยนกระบวนการทำงานในอนาคตขององค์กรที่ใช้ Google Workspace ในการทำงาน ซึ่งจะทำให้ Business User สามารถเร่ง Productivity ความเร็ว และความไร้รอยต่อในการทำงานให้มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด

โดย Gemini for Google Workspace จะช่วยทำให้การทำงานของคนทำงานในหลาย ๆ ส่วนมีความรวดเร็วยิ่งขี้น ตัวอย่างเช่น ฝ่ายขายที่สามารถให้ Gemini ช่วยเขียนอีเมล สรุปการประชุม สร้างสไลด์นำเสนอ หรือในฝ่ายการตลาดที่ให้ช่วยร่างอีเมลการตลาดหรือคำเชิญ ให้ช่วยสรุปเอกสาร หรือบน Google Sheets ที่สามารถช่วยแนะนำการสร้างสูตรคำนวณที่ต้องการ ทำให้ลดเวลาการทำงานไปได้อย่างมหาศาล ไม่ต้องสลับหน้าจอไปมาอีกต่อไป

แม้ว่า Generative AI จะสามารถช่วยให้ธุรกิจมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น การทำงานที่รวดเร็วยิ่งขึ้นได้จริง แต่ทางทีมงาน Ingram Micro ได้ชี้ให้เห็นว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งโลกกำลังมองหา เพื่อปลดล็อกศักยภาพในการใช้งาน AI ให้ได้ผลลัพธ์สำหรับธุรกิจที่ดีที่สุด นั่้นคือการทำ “AI Automation” และสิ่งนี้เองคือ “UiPath” ที่ปัจจุบันพลิกโฉมจาก RPA กลายเป็น UiPath Business Automation Platform แล้ว

โดย UiPath สามารถสนับสนุนกระบวนการ AI ไปผสมผสานในกระบวนการ Automation ได้อย่างไร้รอยต่อ  องค์กรสามารถเลือกใช้โมเดล Generative AI ไม่ว่าจะมาจากค่ายยอดนิยมเจ้าใดก็ตาม เช่น Microsoft, Meta, OpenAI, Google ฯลฯ หรือจะใช้โมเดล LLM ของ UiPath เองอย่าง DocPATH หรือ CommPATH ล้วนสามารถเลือกใช้งานภายในแพลตฟอร์ม UiPath ได้ทันที อีกทั้ง UiPath ยังมาพร้อมกับ UiPath AI Trust Layer ที่จะช่วยปกป้องข้อมูลองค์กรไว้อย่างดีที่สุดอีกด้วย

UiPath จะช่วยปลดล็อกศักยภาพ Generative AI ให้สามารถช่วยลดงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ในอีกขั้น เช่น การสกัดข้อมูลจากเอกสารใบแจ้งหนี้ที่เป็นกระดาษแล้วกรอกข้อมูลแต่ละส่วนลงใส่ Google Sheets หรือการคัดแยกประเภทข้อความ (Classification) ด้วย AI จากข้อมูลของ Call Center ที่รับเรื่องเข้ามาคัดแยกชนิด เพื่อส่งต่อไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำ ทั้งหมด สามารถทำได้แบบเบ็ดเสร็จบนแพลตฟอร์ม UiPath ได้ทันที

แม้ว่า AI จะมีพัฒนาการไปมาก แต่ในอีกมุมหนึ่ง “ภัยคุกคามในด้าน Cybersecurity” ก็เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ไม่ประสงค์ดีก็สามารถใช้ LLM ในการเขียนอีเมล Phishing เพื่อหลอกล่อให้ผู้อ่านกดลิงก์ที่มีแรนซัมแวร์ หรือว่าให้ช่วยเขียนโค้ดที่สามารถทำ SQL Injection ให้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น

ภายในงาน ทาง Ingram Micro จึงได้แนะนำให้รู้จักกับ “OWASP Top 10 for LLM Application” หรือรายการ 10 อันดับความเสี่ยงสูงสุดสำหรับแอปพลิเคชัน LLM ที่มีการจัดลำดับโดย OWASP ซึ่ง “Trellix” (เดิมคือ FireEye และ McAfee Enterprise) คือหนึ่งในผู้ร่วมสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาและปรับตัวกลายเป็น Generative AI Security Operations ที่มีขีดความสามารถของ Generative AI ในการทำงานด้าน Security อย่างครบวงจร

โดย Trellix มีผลิตภัณฑ์ที่มี Generative AI สำหรับการทำงานในด้าน Security หลากหลายรูปแบบ ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานไปได้อย่างมีนัยสำคัญ อาทิ 

  • Trellix Helix Connect ผลิตภัณฑ์ XDR ที่ช่วยปกป้อง Generative AI ด้วยการตรวจสอบติดตามการแจ้งเตือนต่าง ๆ ของ Generative AI เช่น อ่าน SysLog ด้วย Generative AI จาก Amazon CloudWatch ที่ติดตามข้อมูลใน Amazon Bedrock เพื่อสรุปการโจมตีจาก Log ได้อย่างรวดเร็ว
  • Trellix Wise พร้อมกับผลิตภัณฑ์ EDR ที่สามารถตรวจจับและแจ้งเตือนรายละเอียดของมัลแวร์กับผลกระทบของเครื่อง อะไรคือช่องโหว่หรือสิ่งที่ควรปรับปรุง รวมทั้งการถามตอบเป็นภาษาธรรมชาติได้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น พร้อมออกรายงานเหตุการณ์และข้อมูลเชิงลึกให้ดำเนินการต่อได้เลย

หลังจาก COVID-19 ได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานของทั้งโลกให้เป็นลักษณะ Hybrid Work หรือโลกที่พนักงานจะผสมผสานการทำงานที่ออฟฟิศกับการทำงานจากที่บ้านหรือที่ใดก็ได้ ซึ่งทาง Ingram Micro ชี้ให้เห็นว่าปี 2024 นี้พื้นที่สำนักงานจะมีขนาดเล็กลง และพนักงานจะต้องการการทำงานจากที่ไหนก็ได้มากขึ้น ซึ่งเทรนด์ลักษณะนี้กำลังจะเติบโตไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต

ด้วยเทรนด์ดังกล่าว จึงทำให้เกิดความท้าทายใหม่ขององค์กรมากมาย เพราะสถานที่ทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด ซึ่งอาจจะมีเสียงรบกวนรอบข้างที่ทำให้การพูดคุยหรือประชุมไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น นั่นจึงทำให้ชุดหูฟังพร้อมไมโครโฟน (Headset) มีความสำคัญอย่างมาก ที่องค์กรจำเป็นต้องจัดเตรียมความพร้อมไว้ให้กับพนักงาน ไม่ว่าจะอยู่ในห้องประชุมหรือว่าให้พนักงานทำงานจากที่บ้านหรือร้านกาแฟ

ด้วยเหตุนี้ HP จึงมีผลิตภัณฑ์ Headset ของ Poly ที่มีเทคโนโลยีสนับสนุนรูปแบบการทำงานแห่งอนาคต ผ่าน 3 ฟีเจอร์หลัก ที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ Poly ได้แก่

  • Acoustic Fence ระบบตัดเสียง Noise Cancellation ที่เหนือไปอีกขั้น นอกจากเสียงรบกวนจากสิ่งของต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถจัดการกับเสียงคนรอบข้างได้อย่างยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปอีกด้วย ตามความต่างระหว่างเสียงรอบนอกกับเสียงคนพูด
  • Advanced Hybrid Active Noise Canceling ระบบ Active Noise Cancelling (ANC) เพื่อช่วยตัดเสียงรอบนอก กรณีสภาพแวดล้อมเสียงดังมาก ๆ หรือคนที่นั่งข้าง ๆ พูดเสียงดัง เพื่อทำให้การทำงานสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีเสียงมารบกวนอีกต่อไป
  • SoundGuard Digital เทคโนโลยีที่ตัดเสียงที่ดังมาก ๆ เช่น เสียงที่เกิน 85 เดซิเบล ที่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้งานที่ทำให้แก้วหูเสียหายได้

นอกจากนี้ Poly ยังมีโซลูชันสำหรับห้องประชุมในทุกขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ที่มี AI พร้อมสนับสนุนภายใน เช่น Poly DirectorAI ที่จับใบหน้าของผู้พูดรายบุคคลหรือแบบกลุ่มได้ไหลลื่นไม่กระตุก Sound Reflection Reduction ลดเสียงก้องในห้องประชุม รวมทั้งยังมี Poly Lens Admin Cloud ที่สามารถบริหารจัดการทุกอุปกรณ์ Poly ผ่าน Cloud พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกได้อีกด้วย

ทั้งหมดนี้ คืองาน “Better Work Together: The Future of Intelligence” ที่ทาง Ingram Micro Thailand ได้นำเสนอโซลูชันที่พร้อมสนับสนุนการทำงานในอนาคตให้ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแบบ End-To-End ตั้งแต่ Generative AI อย่าง Copilot Studio หรือ Gemini for Google Workspace, Microsoft Fabric สำหรับการทำ Data Analytics, UiPath สำหรับการทำ AI-Powered Automation, Trellix เสริมเรื่อง Cybersecurity และ Poly by HP ที่จะช่วยให้รูปแบบการทำงานในอนาคตมีความชาญฉลาดมากขึ้นในทุกจุด

สำหรับองค์กรใดที่สนใจผลิตภัณฑ์โซลูชันใด ๆ ที่ทาง Ingram Micro นำเสนอภายในงาน หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่อยู่ใน AI Technology Stack ได้ที่อีเมล TH-Cloud@ingrammicro.com, th-UC1_SSBU@ingrammicro.com หรือ TH-AISolutions@ingrammicro.com หรือโทร 02-012-2222

About chatchai

Tech Writer แห่ง TechTalk Thai ที่สนใจในทุกนวัตกรรมและเทคโนโลยี

Check Also

SAP แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน NetWeaver Application Server

SAP ออกแพตช์ความปลอดภัยประจำเดือนมกราคม 2025 แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการใน NetWeaver ที่อาจถูกใช้ยกระดับสิทธิ์และเข้าถึงข้อมูล พร้อมอัปเดตแก้ไขช่องโหว่อีก 12 รายการในผลิตภัณฑ์อื่นๆ

Cisco เปิดตัว AI Defense โซลูชันรักษาความปลอดภัยสำหรับการใช้งาน AI ในองค์กร

Cisco ประกาศเปิดตัวโซลูชัน AI Defense ช่วยปกป้องการใช้งาน AI ในองค์กร พร้อมฟีเจอร์ตรวจจับและป้องกันการโจมตี, การรั่วไหลของข้อมูล, และภัยคุกคามที่ซับซ้อน