วันก่อนมีโอกาสไปนั่งฟังการนำเสนอสรุปข้อมูลและอัพเดตต่างๆ ในงาน EMC World 2015 มาจากทีมงาน EMC ครับ จึงขอเอามาฝากกันไว้ดังนี้ครับ
การเติบโตของปริมาณข้อมูลในอนาคต
จากการคาดการณ์ของ EMC ในปี 2020 โลกเราจะมีประชากรทั้งสิ้นจำนวน 7 พันล้านคน โดยมีการใช้งานอุปกรณ์ที่มากถึง 3 หมื่นล้านอุปกรณ์ และมีการจัดเก็บข้อมูลกว่า 44 Zetabytes ซึ่ง ณ เวลานั้น ซอฟต์แวร์จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในอนาคต เพื่อตอบรับตลาดของ Internet of Things ในเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งนี้ทาง EMC ก็ได้ทำแบบสำรวจ Information Generation ขึ้นมา และพบว่าถัดไปเทรนด์ที่จะเติบโตนี้ได้แก่
- Predictive Spot New Opportunities การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ
- Deliver Personal Experiences การวิเคราะห์ข้อมูลรายบุคคลเพื่อนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ตรงตามความต้องการ
- Innovate in an Agile Way การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- Operate in Real-Time การประมวลผล Unstructured Data ได้ในแบบ Real-time
- Demonstrate Transparency and Trust การทำให้ผู้คนมั่นใจในการเก็บและการใช้ข้อมูล ทั้งในแง่ความทนทานว่าข้อมูลจะไม่สูญหายไปไหน และความปลอดภัยว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหล รวมถึงความโปร่งใสว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
ทิศทางการลงทุนด้าน IT ที่ชัดเจนขึ้น กับการตอบรับจาก EMC
ในแง่มุมของ CEO ในองค์กรต่างๆ ที่ต้องการการเติบโตของธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็มีความต้องการการลดค่าใช้จ่ายลงไปพร้อมๆ กับการจัดการความเสี่ยงด้วย ซึ่งสิ่งที่จะมาตอบโจทย์เหล่านี้ในปัจจุบันและอนาคตก็คือการพัฒนาระบบ Software สำหรับตอบโจทย์ Solution เหล่านี้ EMC ที่เข้าใจแนวโน้มเหล่านี้จากการทำงานอยู่ในวงการ Enterprise IT อย่างเต็มตัวก็ได้ปรับตัวให้กลายเป็นบริษัทนำเสนอ Solution แทนที่จะเสนอ Product แทนแล้ว และ Product ต่างๆ ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น Software มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งกว่าเดิม
ไม่เพียงแต่ EMC เท่านั้น แต่ทั้ง Federation ของ EMC ก็ยังมีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย โดยมี EMC เป็นแกนกลางสำหรับระบบ IT Infrastructure เพื่อตอบโจทย์ Software Defined Storage, มี VMware ทำ Virtualization Infrastructure เพื่อตอบโจทย์ Software Defined Data Center และ Pivotal ทำ Big Data Analytics เพื่อตอบโจทย์ Software Defined Enterprise รวมถึงยังมี VCE ที่ทำ Converged Infrastructure และ RSA ที่ทำทางด้าน Security ให้ครบภาพ
ในปีที่ผ่านมา EMC ได้ลงทุนกับการ R&D ถึง 12% จาก Revenue ซึ่งถือว่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ และลงทุนไปกับการเข้าซื้อกิจการ 8% ของ Revenue ซึ่งต่ำสุดในรอบหลายปี แต่ก็ยังมากกว่าบริษัทอื่นๆ ถึงเกือบ 2 เท่า นับรวมทั้งสิ้น 20% นับเป็นตัวเงินกว่าห้าพันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาทไทย ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ในธุรกิจนี้จะมีการลงทุนกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหรือการซื้อกิจการโดยเฉลี่ยเพียงแค่ราวๆ 10% เท่านั้น ก็ถือเป็นหลักฐานอย่างดีที่ EMC ได้ปรับตัวอย่างจริงจังเพื่อรองรับอนาคตที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้
4 โซลูชั่นเด่นสำหรับปีนี้
ในงาน EMC World 2015 ยังได้มีการสรุปโซลูชั่นเด่นๆ ของ EMC ในปีนี้ออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ดังนี้
- Business Data Lake ระบบ Big Data Analytics สำหรับการวิเคราะห์ธุรกิจในองค์กร
- Cloud Foundry Platform ระบบ Platform-as-a-Service สำหรับให้องค์กรสามารถพัฒนา Application ต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีหลักๆ ที่เป็นที่นิยมใช้กันภายในองค์กร
- Security Analytics ระบบวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับตอบโจทย์ทางด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะ
- Enterprise Hybrid Cloud สถาปัตยกรรมแบบ Hybrid Cloud สำหรับการใช้งานในองค์กร ที่ตอบโจทย์ได้ทั้งความยืดหยุ่น, ความคุ้มค่า, การบริหารจัดการ และความทนทาน
ปรับตัวครั้งใหญ่ จากบริษัท Hardware มาเป็นบริษัท Software
EMC ตอนนี้ได้ทำการปรับตัวครั้งใหญ่ จากเดิมที่เป็นบริษัท Hardware อันดับต้นๆ ของโลก ในวันนี้ EMC ได้กลายมาเป็นบริษัท Software อันดับ 6 ของโลกไปแล้ว โดยถ้ารวม VMware เข้าไปด้วยก็จะขยับอันดับขึ้นเป็นอันดับ 5 ของโลก ทั้งนี้ก็เพื่อปรับตัวให้เข้ากับอนาคตที่ Software จะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำงานได้บนทุกๆ Hardware ให้สามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
แนวโน้มการลงทุน IT ในไทย สำหรับองค์กรใหญ่ๆ ในเวลานี้
สำหรับในไทยในช่วงปีที่่ผ่านมา ทาง EMC มองว่ามี Solution เด่นๆ ที่กลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ให้ความสนใจดังนี้
- Big Data และ Data Lake องค์กรใหญ่เริ่มให้ความสนใจและมีแนวโน้มที่จะลงทุนมากขึ้น ซึ่ง EMC มีทั้ง Platform, Software Development และ Software Defined Enterprise พร้อมกับบริการในการ Consult ด้วย และปัจจุบันนี้ก็มีการ Consult ให้กับลูกค้าหลายรายเพื่อให้ลูกค้ามองเห็นคุณค่าที่จะได้จากระบบ Data Lake ก่อนที่จะมีการติดตั้งใช้งานจริง โดยมีทีม Data Scientist จากทาง EMC เองมาช่วยทำหน้าที่ในการจัดการและสร้างคุณค่าจากข้อมูล
- Hybrid Cloud และบริการแบบ as-a-Service ให้ทุกบริการสามารถซื้อขายได้ ที่ EMC สามารถช่วยสร้าง Platform ได้อย่างครบถ้วนด้วยแนวคิดแบบ Software Defined ทำให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถปรับตัวและให้บริการภายในองค์กร หรือระหว่างองค์กรลูกได้ในแบบ Cloud
- Data Protection ที่จะเป็นตัวเพิ่มระดับของ SLA ให้กับทุกๆ Application ซึ่ง EMC ก็มีโซลูชั่นหลากหลายครอบคลุมได้ทุกสถานการณ์ และยังมีการจัดรวม Data Protection Suite เพื่อให้ลูกค้าองค์กรได้นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดไปใช้ในการสำรองข้อมูลในแต่ละ Application ที่แตกต่างกันได้
วิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนไป จะทำให้ EMC เติบโตต่อไปได้ในอนาคต
ทางทีมงาน EMC Thailand เองก็ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ EMC จะมองว่าตัวเองเคยเป็น Leader ด้าน Hardware มาก่อน แต่ปัจจุบันนี้ในการที่จะนำเสนอระบบ IT Infrastructure ที่ดีให้กับลูกค้าได้นั้น ระบบ Software ที่นำมาใช้งานบน Hardware ก็ต้องดีด้วยเช่นกัน ลูกค้าจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด และนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม EMC ถึงต้องเข้ามาทำตลาด Software ด้วยตัวเองจนกลายเป็นบริษัทที่นำเสนอ Solution ไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ Hardware และ Software ทั้งหมดสามารถทำงานร่วมกันเป็น Infrastructure ที่ดีที่สุดเพื่อสนับสนุนธุรกิจได้นั่นเอง รวมถึงในอนาคตอันใกล้นี้ Software เองก็จะทำให้ตลาดการให้บริการที่เป็นหัวใจหลักในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจเติบโตไปอีกด้วย
สุดท้ายทางทีมงาน TechTalkThai ก็ต้องขอขอบคุณทีมงาน EMC ที่สละเวลามาอัพเดตข้อมูลกันนะครับ