แม้ว่า Generative AI กำลังเริ่มมีการปรับใช้ในภาคธุรกิจอย่างจริงจังมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยีนั้นยังดูไม่ได้แผ่วหรือว่าช้าลงไปแม้แต่น้อย เพราะเราสามารถเห็น Breakthrough หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาจากอุตสาหกรรมได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น หรือบางครั้งอาจจะเป็นรายสัปดาห์ก็ว่าได้
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image9-640x335.jpg)
จากงานแถลงข่าว Dell Technologies (Dell) นำโดย President, Asia Pacific Japan & Greater China คุณ Peter Marrs พร้อมด้วย Global Chief Technology Officer & Chief AI Officer คุณ John Roese ได้เผยการคาดการณ์และโอกาสในด้าน AI จากมุมมองของ Dell กับภาคอุตสาหกรรมในปี 2025 และอนาคต ซึ่งได้เผยมุมมองของโอกาส AI ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (Asia‐Pacific, Japan หรือ APJ) 5 มุมมองเทรนด์ AI ในปี 2025 และอนาคต มีอะไรน่าสนใจบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image5-640x364.png)
Dell ชี้ โอกาส AI ใน APJ ยังเติบโตได้อีกมาก
คุณ Peter Marrs ได้ชี้ให้เห็นว่า AI ในภูมิภาค APJ นั้นได้มีองค์กรมากมายใช้ประโยชนืเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ทรานส์ฟอร์มองค์กรให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยได้หยิบยกหลากหลาย Use Case ขึ้นมาที่ชี้ให้เห็นได้ว่า AI ในภูมิภาคนี้ยังมีโอกาสเติบโตไปได้อย่างมหาศาล
“AI ได้เปลี่ยนทั้งโลกและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเรากำลังเห็นภูมิภาคนี้มีความแข็งแกร่งในการสร้างนวัตกรรมที่ได้เปรียบอย่างต่อเนื่อง” คุณ Peter Marrs, President, Asia Pacific Japan & Greater China แห่ง Dell Technologies กล่าว “พวกเรามองเห็นโมเมนตัมที่แข็งแกร่งในภูมิภาค APJ และความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการเตรียมพร้อมและการปรับใช้ AI”
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image6-640x283.png)
โดยคุณ Peter Marrs ได้ชี้ให้เห็นว่า 4 อุตสาหกรรมในภูมิภาค APJ ที่มีการนำเอาเทคโนโลยี AI มาปรับใช้มากที่สุด ได้แก่
- ภาคสถาบันการเงิน (Financial Services Institute หรือ FSI) เช่น การตรวจจับการฉ้อโกง การให้บริการลูกค้า การจัดการความเสี่ยง
- ภาคสาธารณสุขหรือการแพทย์ (Healthcare) เช่น การวิเคราะห์ทำนายวินิจฉัยโรค การจัดการระบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยให้ไหลลื่น หรือการสร้างโอกาสการขาย Cross-Selling
- ภาคอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) เช่น การทำ Digital Twin สำหรับโรงงาน Smart Factory การผลิตที่ชาญฉลาดมากขึ้น หรือการทำนายการบำรุงรักษาเครื่องจักร
- ภาครัฐบาล (Government/Public Sector) เช่น การสร้าง LLM ภาษาท้องถิ่นในที่ต่าง ๆ หรือการปรับปรุงบริการให้กับประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
Dell AI Factory พร้อมสนับสนุนทุกความต้องการสร้างสรรค์ AI
ส่วนที่สำคัญในการทำให้ AI มีประสิทธิภาพที่พร้อมใช้งานได้จริง นั่นคือ “ข้อมูล (Data)” และในหลาย ๆ ครั้งการใช้งานข้อมูลก็มักจะมีข้อกังวลในเรื่องความมั่นคงปลอดภัย (Security) เรื่องอธิปไตยข้อมูล (Data Sovereignty) หรือบางแห่งก็ต้องการใช้งานแบบ On-Premise
“เมื่อได้พูดคุยกับลูกค้า พบว่าราว 40% ที่พูดคุยกับองค์กรนั้นคือจะเกี่ยวกับเรื่องกลยุทธ์ในข้อมูล (Data) เพราะอย่างที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ข้อมูลที่ดีก็จะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่ดี” คุณ Peter Marrs กล่าวเสริม” คุณ Peter Marrs กล่าวเสริม
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Dell ได้เปิดตัว Dell AI Factory ในงาน Dell Technology World ช่วงพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่พร้อมสนับสนุนความต้องการในด้านข้อมูลในทุกอุตสาหกรรม พร้อมพาร์ตเนอร์ที่อยู่ในระบบนิเวศ (Ecosystem) ทำให้องค์กรทุกอุตสาหกรรมสามารถสร้าง AI ใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น ง่าย พร้อมใช้แบบ End-To-End ซึ่งในภูมิภาค APJ ก็มีการใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image1-640x356.png)
5 มุมมองเทรนด์ AI แห่งปี 2025 และอนาคตจาก Dell Technologies
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี Generative AI จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนอาจจะทำนายอนาคตไปในระยะไกล ๆ ไม่ได้ง่าย ๆ แต่ คุณ John Roese, Global Chief Technology Officer และ Chief AI Officer แห่ง Dell Technologies ได้เผย 5 มุมมองเทรนด์ AI ในปี 2025 ที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นและเริ่มเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปีหน้านี้ ได้แก่
1. สถาปัตยกรรม Agentic AI จะเพิ่มมากขึ้น
สถาปัตยกรรม Agentic AI หรือโมเดล AI ที่สร้าง AI Agent ไปทำงานที่ซับซ้อนได้อย่างอัตโนมัติเอง (Autonomous Agent) นั้นจะกลายเป็นเครื่องมือใหม่ที่เริ่มมีการปรับใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะไม่ใช่โมเดล AI ที่เป็นลักษณะ Reactive หรือต้องสั่งการผ่าน Prompt เพื่อให้ทำอะไรบางอย่างแล้วจึงค่อยตอบกลับมา รวมทั้งจะไม่ใช่โมเดล AI ตัวเดียวที่จะต้องเก่งทุกอย่าง แต่จะเป็นการทำงานร่วมกันของ AI Agent หลาย ๆ ตัวที่เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องแล้วทำงานร่วมกัน
โดย Agentic AI จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถสั่ง ไปทำงานที่ซับซ้อนได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมนุษย์เข้าไปแทรกแซงขั้นตอนการทำงานอีกต่อไป เช่น การร้องขอให้ไปตรวจสอบติดตามเครื่องจักรเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องดังกล่าวจะทำงานได้ตามปกติ พร้อมกับถ้าหากเกิดเหตุปัญหาอะไรให้ดำเนินการแก้ไขอย่างถูกต้องให้ได้เลย เป็นต้น
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image7-640x356.png)
2. AI ระดับองค์กรจะขยายผลจากหลักการสู่ความเป็นจริงมากขึ้น
จากปีแรกของ Generative AI องค์กรอาจจะยังแค่ทดลองทดสอบกันอยู่ แต่ปีหน้าจะเริ่มเข้าสู่ระดับ Production มากขึ้น ซึ่ง Dell คืออีกหนึ่งแห่งที่มีการปรับ AI ใช้ภายในองค์กรจำนวนมากแล้ววันนี้ เช่น วิศวกรกว่า 20,000 คนที่ใช้ผู้ช่วยเขียนโค้ด หรือผู้ให้บริการราว 15,000 คนที่ใช้ AI ช่วยแนะนำ Next Best Action เป็นต้น
และปีหน้านี้จะเริ่มเห็นองค์กรขนาดใหญ่เริ่มปรับใช้งาน AI ในวงกว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเครื่องมือ AI ส่วนใหญ่จะต้องทำเป็นลักษณะ Enterprise AI ที่อาจจะกลายเป็นมาตรฐานให้กับองค์กรต่าง ๆ โดยที่องค์กรจะกลายเป็นการนำแต่ละส่วนมาใช้งานบน On- Premises ไม่จำเป็นต้องสร้างเองตั้งแต่เริ่มต้นอีกต่อไป
“ปีหน้าเราเชื่อว่าจะได้เห็นองค์กรมากมากมายหลายแห่งเข้าสู่โลกของ AI ซึ่งจะไม่ใช่แค่การพิสูจน์แนวคิด (POC) แล้ว แต่จะเป็นโครงการที่มีผลกระทบ (Impact) ต่อกระบวนการที่เป็นแกนของธุรกิจได้จริงและที่สำคัญจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น มีผลกำไรมากขึ้น” คุณ John Roese กล่าว
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image4-640x356.png)
3. Sovereign AI จะเร่งการปรับใช้ทั่วโลก
อธิปไตยปัญญาประดิษฐ์ (Sovereign AI) หรือขีดความสามารถของประเทศในการสร้าง AI บนโครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล เน็ตเวิร์กโครงข่ายธุรกิจ และแรงงานของตัวเอง จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญของแต่ละประเทศทั่วโลก ซึ่งบทบาทของภาครัฐบาลในด้าน AI จะมีความสำคัญอย่างมากในการทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แม้ว่าบริบทของภาครัฐแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไป
และในปี 2025 คุณ John Roese คาดว่าภาครัฐบาลทุกประเทศในโลกจะสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งมองเห็นเป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่
- Government for Government คือภาครัฐสร้าง Data Center ของตัวเองขึ้นมา เพื่อสร้างโมเดลของตัวเองแล้วทรานส์ฟอร์มตัวเอง หากแต่รูปแบบนี้พบได้ค่อนข้างน้อย
- Government for Industry คือภาครัฐสร้าง Data Center พร้อมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของตัวเองขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถใช้งาน โดยภาครัฐจะช่วยสร้าง AI Data Center ขนาดใหญ่เพื่อให้เป็นเครื่องมือสำหรับภาคอุตสาหกรรมสร้างโครงการ AI ได้สำเร็จ
- Government with Industry คือภาครัฐจะไม่ได้เป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ แล้ว แต่ภาครัฐจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) ในการจัดการจัดระเบียบในภาคอุตสาหกรรม สามารถเรียนรู้และปรับใช้เทคโนโลยี AI ได้เร็วกว่าคู่แข่งที่อื่น ๆ
“สิ่งเหล่านี้จะไม่ได้เป็นรูปแบบที่แยกออกจากกันทั้งหมด อาจมีประเทศที่ทำทั้งสามอย่างนี้เลย หรืออาจมีประเทศที่ทำเพียงอย่างที่สามเท่านั้น เป็นต้น” คุณ John Roese กล่าว
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image8-640x356.png)
4. AI จะผสมผสานกับเทคโนโลยีเกิดใหม่อื่น ๆ เกิดขึ้น
จากช่วงที่ Generative AI กำเนิดขึ้น ได้มีเทคโนโลยีอีกหลากหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ Quantum Computing, Zero Trust, Digital Twin, Telecom โครงข่าย 5G, 6G ฯลฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่า AI ได้ผสานกับเทคโนโลยีที่เกิดใหม่เหล่านั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง AI ได้ช่วยทำให้เทคโนโลยีเหล่านั้นมีพัฒนาการที่เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เราเริ่มเห็นรูปแบบนี้แล้วประมาณเมื่อสองปีก่อน ซึ่ง AI คือเทคโนโลยีที่แยกออกมา โดย AI ได้เปลี่ยนกรอบของทุกอย่าง รวมถึงบทบาทของเทคโนโลยีอื่น ๆ เกือบทั้งหมดด้วย” คุณ John Roese กล่าว “ไม่ว่าคุณจะสำรวจเทคโนโลยีอะไรในปัจจุบันตอนนี้ ล้วนมีความเกี่ยวพันในระบบนิเวศ AI แล้วทั้งนั้น ดังนั้น AI จึงไม่เพียงแต่กลายเป็นศูนย์กลางของโลกแห่งแอปพลิเคชันของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของโลกเทคโนโลยีด้วย”
จะเห็นได้ว่า AI ณ ตอนนี้ได้กลายเป็นแกนกลางของเทคโนโลยีที่จะพัฒนาก้าวหน้าไปได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเชื่อมกับ AI ไปทั้งหมดแล้ว
“ทุกเทคโนโลยีตอนนี้คือจะเป็นการทำให้เทคโนโลยี AI ใช้งานได้หรือจะทำให้ใช้งานได้ด้วย AI (Every technology is now either enabling AI or is enabled by AI.)” คุณ John Roese กล่าวเสริม
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image3-640x356.png)
5. AI จะกลายเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกคน
แน่นอนว่าทักษะดิจิทัลคือสิ่งที่สำคัญมากและมีการพูดถึงกันเป็นวงกว้างในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแรงงานจำเป็นจะต้องอัปสกิล (Upskill) เพิ่มทักษะใหม่เข้าไปอย่างต่อเนื่อง เพราะงานที่ทำง่ายและทำซ้ำ ๆ ทุกวันจะถูกแทนที่อย่างแน่นอน หากแต่สิ่งที่จะต้องเพิ่มเข้าไปอีกคือทักษะ AI เพราะลักษณะงานนั้นได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
“ปี 2024 จะเป็นปีที่พวกเรามีข้อมูลมากขึ้น ที่จะทำให้เข้าใจได้ว่างานอะไรจริง ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจาก AI” คุณ John Roese กล่าว “แม้ว่างานทั่วไปจะถูกระบบ AI แทนที่อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ คือสิ่งที่น่าตื่นเต้น นั่นคือยังคงมีการสร้างงานรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกที่”
ตัวอย่างที่คุณ John Roese ยกขึ้นมานั้น เช่น Software Composer, AI Interpreter ซึ่งจะเป็นงานในระดับขั้นที่สูงขึ้นของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ หากแต่งานระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านฮาร์ดแวร์หรือช่างผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้าง Data Center ต่าง ๆ อย่างเช่น ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ก็ได้รับอานิสงฆ์ให้มีการลงทุนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ดังนั้น AI ไม่ได้เพียงแต่จะสร้างงานระดับสูงใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในด้านการก่อสร้าง ระบบประปา ไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และระบบย่อยของไฟฟ้าด้วย” คุณ John Roese กล่าวเสริม
![](https://www.techtalkthai.com/wp-content/uploads/2024/12/image2-640x356.png)
บทส่งท้าย
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงแค่การคาดการณ์จากทาง Dell Technologies ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นในปี 2025 ที่ไม่แน่ว่าจะเกิดจริง ๆ หรือไม่ แต่ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าโลกของ AI โดยเฉพาะ Generative AI ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจองค์กรทั้งโลก ที่จะต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง AI จะยังคงเป็นกุญแจสำคัญไปอีกสักพักใหญ่ในการทำให้เกิดวิวัฒนาการของเทคโนโลยีต่าง ๆ ดังนั้น เราจึงควรต้องพัฒนาอัปสกิล AI กันอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยคือตลอดทั้งปี 2025 นี้ที่จะยังคงเป็นเทรนด์ AI อย่างต่อเนื่องแน่นอน