Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning กำลังถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนระบบความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การค้นหาและตรวจสอบช่องโหว่ระบบ IT ที่นับวันจะมีขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นความท้าทายของทีมรักษาความมั่นคงปลอดภัย หลายบริษัทจึงเริ่มคาดหวังที่จะนำระบบ AI และ Machine Learning เข้ามาช่วยค้นหาช่องโหว่และวิเคราะห์โค้ดโปรแกรมก่อนที่แฮ็คเกอร์จะหาเจอ
บริษัท Startup สัญชาติอินเดีย นามว่า Cloudsek ซึ่งให้บริการประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศคือหนึ่งในบริษัทเหล่านั้นที่ต้องการนำโซลูชัน Machine Learning เข้ามาช่วยองค์กรในการค้นหาและตรวจจับภัยคุกคามออนไลน์แบบเรียลไทม์ โดยได้พัฒนาระบบ AI ชื่อว่า Cloud-AI สำหรับเรียนรู้วิธีการเก็บข้อมูลจาก Input Box, Button และ Navigation Links โดยอัตโนมัติ และให้มี False Positive ต่ำที่สุด สำหรับใช้สนับสนุนผลิตภัณฑ์ Threat Intelligence ของบริษัท นอกจากนี้พัฒนาคุณสมบัติให้สามารถค้นหาช่องโหว่บนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้เร็วกว่าการทำงานของมนุษย์อีกด้วย
ผลลัพธ์ของการพัฒนา Cloud-AI ทำให้บริษัทสามารถค้นพบช่องโหว่ “Insecure Direct Object Reference” บน LinkedIn ได้มากถึง 10 รายการ ประกอบด้วย
- Email ID ของผู้ใช้บน LinkedIn รั่วไหลสู่สาธารณะ
- อีเมล เบอร์โทรศัพท์ และเรซูเม่ของผู้ใช้รั่วไหลสู่สาธารณะ
- การลบคำร้องขอ LinkedIn จากทุกๆ ผู้ใช้
- การดาวน์โหลดทรานสคริปต์รวมไปถึงวิดีโอจาก Lynda
- การดาวน์โหลดไฟล์แบบฝึกหัดของ Lynda โดยไม่ต้องเป็นสมาชิกระดับพรีเมียม
โดยปกติแล้ว การค้นหาช่องโหว่เหล่านี้จำเป็นต้องทำการเปลี่ยนแปลงค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งกินเวลาอย่างมหาศาล และเป็นเรื่องยากที่เครื่องมืออัตโนมัติต่างๆ จะสามารถค้นหา Endpoint ที่มีช่องโหว่ได้
“ระบบ Cloud-AI ต้องทำการกรอกข้อมูลลงบนฟอร์มหลายรายการ และต้องทำตามรูปแบบที่ถูกต้องเพื่อให้สามารถเข้าถึง Endpoint ที่มีช่องโหว่ได้ บ่อยครั้งที่เครื่องมืออัตโมนัติและการวิเคราะห์โดยมนุษย์มักจะพลาดช่องโหว่เหล่านั้น” — CloudSek ระบุ
คาดว่าในปี 2017 นี้ เราจะได้เห็น AI และ Machine Learning เข้ามาตอบโจทย์การรักษาความมั่นคงปลอดภัยในลักษณะต่างๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระการวิเคราะห์และการทำงานของฝ่าย IT Security ลงได้อย่างมหาศาล
ที่มาและเครดิตรูปภาพ: http://thehackernews.com/2017/01/artificial-Intelligence-cybersecurity.html