Cisco เผย 5 แนวโน้มด้าน Enterprise Network ประจำปี 2018

Cisco ได้ออกมาเปิดเผยถึงแนวโน้มด้าน Enterprise Network ประจำปี 2018 หลังจากที่ปี 2017 ทาง Cisco ได้เปิดตัวระบบ Intent-based Networking ไปอย่างเต็มตัว มาดูกันว่า Cisco จะวิเคราะห์แนวโน้มของปี 2018 นี้เอาไว้อย่างไร

 

Credit: Cisco

 

1. ระบบ Next-generation Network Analytics จะกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน

ในปี 2017 ที่ผ่านมาเรามักจะได้เห็นการใช้ Next Generation Analytics กับระบบ Wireless Network เป็นหลัก แต่เทคโนโลยีดังกล่าวนั้นก็ยังถือว่ายังไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากเท่าที่ควร ในปี 2018 นี้เราจึงจะได้เห็นการนำ Next Generation Analytics กับระบบเครือข่ายในแง่มุมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำมาใช้กับ Switch และ SD-WAN เพื่อให้เห็นภาพรวมของทั้งผู้ใช้งาน, ระบบเครือข่าย และ Application ได้อย่างครบถ้วน

นอกจากนี้การนำระบบ Simulation, Machine Learning และ AI เข้ามาใช้ในการจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาลที่เกิดขึ้นจากระบบเครือข่ายเหล่านี้ก็จะทำให้คนทำงาน IT สามารถเปลี่ยนจากการทำงานเชิงรับไปสู่การทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น และทำให้แนวคิดของการทำ Network Assurance กลายเป็นแนวปฏิบัติหลักได้ในอนาคต

 

2. งานด้าน SecOps และ NetOps จะเข้าใกล้กันจนเริ่มแยกไม่ออก

Ransomware นั้นจะยังคงเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง และการโจมตีระบบ Internet of Things (IoT) นั้นก็จะเป็นภัยคุกคามในลำดับถัดมา โดยเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Tor หรือ Malware ที่เคยถูกใช้กับ Ransomware ก็ได้ถูกนำมาใช้กับ IoT ด้วย

แนวโน้มอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการที่เดิมทีระบบปฏิบัติการหลักๆ ที่มีการใช้งานกันเยอะนั้นมักจะเป็น Windows หรือ macOS แต่ในอนาคตด้วยการมาของ IoT ระบบปฏิบัติการจะมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทำให้การดูแลให้มั่นคงปลอดภัยนั้นยากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งอุปกรณ์ IoT ยังไม่สามารถติดตั้ง Security Agent หรือทำ Multi-factor Authentication ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถ Patch ได้โดยง่าย โจทย์นี้จึงจะกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของบรรดาธุรกิจหลังจากนี้

ส่วนในอนาคต รูปแบบของระบบ Security จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก และระบบ Network เองก็จะเข้าไปมีบทบาทเป็นอย่างมากในแง่มุมของ Security ทั้งในการตรวจจับและการทำ Segmentation ทำให้ฝ่าย Security และ Network นั้นต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าในอดีตที่ผ่านมา

 

3. ปีนี้จะเป็นปีแห่งการหาสมดุลระหว่าง Security และ Privacy

ด้วยความนิยมของ Cloud และ SD-WAN ที่สูงขึ้น ทำให้ปริมาณของ Traffic ที่ถูกเข้ารหัสนั้นมีสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เทคโนโลยี Security ในอดีตอย่าง Web Proxy และอื่นๆ ที่ต้องตรวจสอบข้อมูลภายในเครือข่ายนั้นต้องทำการถอดรหัสข้อมูลทั้งหมดออกมาตรวจสอบ หรือไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เลย

ประเด็นนี้ทำให้มีปัญหาค่อนข้างมากกับเรื่องของ Privacy หรือความเป็นส่วนตัว, มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเพิ่มขยายระบบ และยังส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานหรือ User Experience อีกด้วย

ในปี 2018 นี้ทาง Cisco เชื่อว่าเหล่าองค์กรจะต้องหันกลับมาคิดกันให้มากขึ้นว่าจะมีการตรวจสอบ Traffic อะไรบ้าง และจะไม่ตรวจสอบ Traffic อะไรบ้าง แล้วหันไปใช้เทคนิคในการตรวจจับภัยคุกคามแบบ Decentralized อย่างเช่นการตรวจสอบ Flow หรือตรวจสอบ DNS แทน เพื่อเลือกว่าจะทำการถอดรหัสข้อมูลใดบ้างเท่าที่จำเป็น ซึ่งความสามารถเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยระบบเครือข่ายที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายและรวดเร็ว รวมถึงสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน และเปลี่ยนแปลงเส้นทางของเครือข่ายเพื่อนำข้อมูลไปตรวจสอบได้ตามต้องการ

 

4. Automation จะกลายเป็นจุดสำคัญสำหรับสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน

ที่ผ่านมาเหล่าผู้ดูแลระบบ IT นั้นต่างก็ต้องทำงานต่างๆ ด้วยตนเอง และทำให้เมื่อต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ก็ตามภายในระบบต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน แต่ด้วย Intent Based Networking (IBN) ผู้ดูแลระบบ IT จะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายได้แทบจะ Real-time และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กรเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ง่ายต่อการแข่งขัน

นอกจากนี้ เนื่องจาก IBN นั้นสามารถเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ได้ผ่านทาง API ธุรกิจต่างๆ ก็สามารถทำ Automation เพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของตนเองได้มากยิ่งขึ้น

 

5. การประมวลผลจะเริ่มเกิดขึ้นที่ Edge แทนแล้ว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อุปรกณ์ Switch และ Router ต่างก็เริ่มมีหน่วยประมวลผล x86 ฝังอยู่ภายในระบบมากขึ้นเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีระบบที่ทดแทน Server ได้อย่าง Cisco ENCS ถูกใช้งานที่สาขาขององค์กรและรองรับการทำ Virtual Network Functions ได้ในตัว และ Framework ใหม่ๆ อย่าง Cisco Kinetic หรือระบบ Serverless Compute จากเหล่าผู้ให้บริการ IaaS รายใหญ่ๆ นั้นก็จะกลายเป็นอีกทางเลือกสำหรับรองรับ Workload ในอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การสร้างระบบ Distributed Computing นั้นสามารถทำได้จริงแล้ว และที่ผ่านมาก็เริ่มถูกนำไปใช้กับระบบ IoT บ้างแล้วในบางส่วน

ส่วนในอนาคต IoT นั้นจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และปริมาณข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT Sensor นี้ก็จะทำให้เกิดความต้องการในการประมวลผลแบบ Real-time ด้วย Latency ที่ต่ำลง และความต้องการเหล่านี้เองก็จะทใำห้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อทำให้ระบบเครือข่ายนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Compute Fabric อย่างแท้จริง

 

ที่มา: https://blogs.cisco.com/news/networking-trends-for-2018

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

ผู้เชี่ยวชาญเตือนพบช่องโหว่ Zero-day กระทบผู้ใช้ Zyxel หลายรุ่น เสี่ยงต่อการถูกโจมตี

มีการค้นพบช่องโหว่ Zero-day ในผลิตภัณฑ์ Zyxel หลายรุ่น ซึ่งพบการโจมตีจริงแล้ว แแต่ที่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเป็นห่วงงเพราะทาง Vendor ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นหมดอายุไปแล้วและจะไม่มีการแพตช์ ทำให้ผู้ใช้งานอาจเป็นเป้านิ่งสำหรับ Botnet หรือ การโจมตีทางไซเบอร์

Dynatrace เปิดตัว ‘Observability for Developer’

Observability for Developer เป็นโซลูชันใหม่ล่าสุดที่ Dynatrace นำเสนอเพื่อช่วยงานนักพัฒนาให้แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น