การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้การดำเนินงานทั่วโลกต้องหยุดชะงัก บังคับให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีของตนอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการทำงานจากระยะไกล และรับมือกับความไม่แน่นอนในระยะยาวในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับธุรกิจจำนวนมาก การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีกลายเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอด และสำหรับหลายองค์กร นั่นหมายถึงการเร่งย้ายเวิร์คโหลดเพิ่มเติมไปยังระบบคลาวด์
คุณรัชนีกร เทวอักษร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจระบบคอมพิวเตอร์สำหรับคลาวด์แพลตฟอร์ม ไอบีเอ็ม ประเทศไทย เปิดเผยว่าวันนี้ องค์กรเริ่มตระหนักถึงประโยชน์และวิธีการใช้คลาวด์แต่ละแบบให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้ธุรกิจเห็นภาพความท้าทายเกี่ยวกับคลาวด์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ศูนย์วิจัยไอบีเอ็มจึงได้เผยผลการคาดการณ์เกี่ยวกับระบบคลาวด์ในปีที่จะถึงไว้ดังนี้
ถึงเวลาของการเข้ารหัสแบบ Quantum-Safe และ Homomorphic เต็มรูปแบบ
ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งไอบีเอ็มเองกำลังเดินหน้าพัฒนาควอนตัมคอมพิวติง เพื่อแก้ปัญหาท้าทายที่วันนี้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดในโลกยังไม่สามารถแก้ได้ แต่คุณสมบัติ fault-tolerant ของคอมพิวเตอร์ควอนตัมก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างการเจาะอัลกอริธึมการเข้ารหัสและเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้อย่างรวดเร็ว นักวิจัยไอบีเอ็มคาดว่าบริษัทต่างๆ จะเริ่มมองถึงการใช้การเข้ารหัสแบบ quantum-safe ที่จะช่วยให้ข้อมูลที่ส่งผ่านเน็ตเวิร์คสู่คลาวด์แอพพลิเคชัน รวมถึงข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนอย่างหมายเลขบัตรเครดิต ได้รับการจัดเก็บในฐานข้อมูลที่สามารถเข้ารหัสได้ในระดับแอพพลิเคชัน รองรับด้วยการคุ้มครองการเข้ารหัสคีย์ที่ใช้ในการเข้ารหัสระดับสูงสุดในอุตสาหกรรม รวมถึงฟีเจอร์ Keep Your Own Key (KYOK) โดยการเข้ารหัสแบบ quantum-safe เป็นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุดในอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

ในทำนองเดียวกัน ก็มีองค์กรมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เริ่มทดลองใช้การเข้ารหัสแบบ Homomorphic อย่างเต็มรูปแบบ (FHE) เพื่อปกป้องข้อมูลของตน การเข้ารหัสช่วยให้เราสามารถเพิ่มชั้นการป้องกันเพิ่มเติมให้กับข้อมูลได้ด้วยการซ่อนข้อมูลไว้ในสูตรคณิตศาสตร์ที่สามารถอ่านได้โดยผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึง “คีย์” ลับเท่านั้น FHE จะช่วยให้ข้อมูลยังคงเข้ารหัสอยู่แม้อยู่ในระหว่างการประมวลผล ตัวอย่างเช่น บริษัทประกันภัยสามารถดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย โดยที่บริษัทประกันไม่สามารถมองเห็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุตัวตนได้
ซิเคียวริตี้คือเรื่องสำคัญ ธุรกิจจะเปิดรับเทคโนโลยีใหม่อย่าง Confidential Computing
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าบริษัทต่างๆ จะเริ่มกระจายงานปฏิบัติการด้านไอทีไปยังสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ในปีหน้า ไม่เว้นแม้แต่บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกฎข้อบังคับควบคุมไว้อย่างเข้มงวดที่สุด องค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สนับสนุนการแยกระบบ (isolation) รับรองความถูกต้องสมบูรณ์ของระบบและข้อมูล และรองรับกลยุทธ์ zero trust ทั้งหมดนี้เป็นไปในขณะที่ภัยคุกคามไซเบอร์ก็มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ระบบฮาร์ดแวร์ที่มาพร้อมกับความสามารถด้านความปลอดภัยจะถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อปกป้องเวิร์คโหลดทั้งที่อยู่ในองค์กรและบนคลาวด์ อย่างเช่น LinuxONE บน IBM Zและ HyperProtect ที่ให้ระดับความปลอดภัยที่สูงขึ้นสำหรับโอเพนซอร์สและเวิร์คโหลดแบบเดิม

ธุรกิจต่างๆ จะเปิดรับเทคโนโลยีใหม่อย่าง Confidential Computing ที่มีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งในขณะจัดเก็บและโอนย้ายข้อมูลด้วยการควบคุมคีย์แบบพิเศษ ที่จะช่วยปกป้องชุดข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและมีกฎข้อบังคับควบคุมอย่างเข้มงวด ซึ่งรวมถึงเวิร์คโหลดของแอพพลิเคชันด้วย
ความต้องการระบบคลาวด์เฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล
เพื่อจัดการกับอุปสรรคด้านความปลอดภัย มาตรฐานที่กำหนดไว้ และข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ อุตสาหกรรมที่มีความเฉพาะเจาะจงและอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด อย่างบริการทางการเงินและโทรคมนาคม จะต้องการความช่วยเหลือจากผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการของตน โดยที่การดำเนินการเหล่านี้เป็นไปตามกฎข้อบังคับที่กำกับดูแลอยู่ คลาวด์เฉพาะอุตสาหกรรมอย่าง IBM Cloud for Financial Services และ IBM Cloud for Telecommunications คือตัวอย่างของระบบที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้
AI จะทำให้การใช้คลาวด์เป็นไปโดยอัตโนมัติ พร้อมการจัดการคอนเทนเนอร์แบบใหม่ที่ก้าวล้ำ
เทคโนโลยี AI เช่น เทคนิคที่ใช้กราฟ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และ AI ที่สามารถอธิบายได้ (Explainable AI) ได้ถูกนำมาใช้กับภาษาที่มนุษย์ใช้ ตัวอย่างที่แพร่หลาย อาทิ เทคโนโลยี voice recognition และแอพแปลภาษา การใช้ AI แบบเดียวกันกับโค้ดของแมชชีนจะช่วยเร่งความเร็วในการย้ายแอพพลิเคชันไปยังระบบคลาวด์ และเปิดให้สามารถเข้าไปจัดการได้ในภายหลัง เทคนิค AI เหล่านี้สามารถอธิบายลักษณะการทำงานและโครงสร้างของแอพพลิเคชันเพื่อแนะนำและสร้างตัวเลือกไมโครเซอร์วิสโดยอัตโนมัติ
แนวทางนี้ก้าวไปไกลเกินกว่ากระบวนการแบบ “ดั้งเดิม” ในการจัดทำคอนเทนเนอร์ (containerization) ระบบอัตโนมัติเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องการย้ายเวิร์คโหลดที่สำคัญไปยังสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากความซับซ้อนของเวิร์คโหลด โดยบ่อยครั้งที่บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องหาตำแหน่งที่แน่ชัดที่แอพพลิเคชันกำลังทำงานอยู่ มีหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการย้ายแอพพลิเคชันและข้อมูลที่ใช้งานในองค์กรมาเป็นเวลาหลายปีไปยังสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ ซึ่งบางส่วนองค์กรอาจไม่ได้ควบคุมเองโดยตรง
AI ยังจะช่วยสนับสนุนนักพัฒนาระบบคลาวด์และวิศวกรที่ดูแลความน่าเชื่อถือของระบบ (reliability engineer) ตั้งแต่การดำเนินการปรับปรุงแอพพลิเคชันให้ทันสมัยโดยอัตโนมัติและการปรับใช้แอพพลิเคชันกับสภาพแวดล้อมใหม่ ไปจนถึงการช่วยจัดการแอพพลิเคชันที่ใช้ประจำวัน ในความเป็นจริง วิศวกรที่ดูแลความน่าเชื่อถือจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น เนื่องจากองค์กรต่างๆ กำลังเดินหน้าใช้เทคนิคและกลยุทธ์ที่ใช้ AI เช่น ChatOps เพื่อจัดการกับแอพพลิเคชันและสภาพแวดล้อมของตน วิศวกรที่ดูแลความน่าเชื่อถือของระบบจะคาดการณ์และจัดการกับความเสี่ยงในเชิงรุก ตลอดจนดึงข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลที่ไม่มีการจัดโครงสร้างอันซับซ้อนได้มากขึ้น ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่สำคัญเมื่อแอพพลิเคชันทำงานในอีโคซิสเต็มของระบบไฮบริดคลาวด์
เครื่องมือโอเพนซอร์สจะช่วยรวมระบบคลาวด์เข้าด้วยกัน ทำให้การเขียนโปรแกรมและการใช้งานระบบไฮบริดคลาวด์ง่ายขึ้น
ปัจจุบัน หากนักพัฒนาต้องการประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่จากแล็บท็อป อาจต้องใช้คอนเทนเนอร์ถึง 100,000 คอนเทนเนอร์ ต้องรู้วิธีการเขียนโค้ดแอพพลิเคชันขึ้นมาใหม่ นักพัฒนาจำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องมือและเฟรมเวิร์คที่ช่วยให้พวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สำหรับนักพัฒนาและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่ไม่มีประสบการณ์และความชำนาญมากพอในการออกแบบโปรแกรมหรือระบบให้ประมวลผลข้อมูลแบบคู่ขนาน (parallelization) และการใช้เครื่องมือการควบคุมคอนเทนเนอร์ให้ทำงานสอดประสานกัน การจะเขียนโปรแกรมในสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ถือเป็นเรื่องยากมาก
ในปีหน้านี้ เครื่องมือโอเพนซอร์สจะช่วยรวมระบบคลาวด์และระบบ on-premise จำนวนมากเข้าไว้ในแพลตฟอร์มไฮบริดเดียวแบบไร้รอยต่อ ลดขั้นตอนการเรียนรู้ของโปรแกรมเมอร์และผู้ที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ที่ใช้เวลานาน บริษัทต่างๆ จะนำโมเดลการปรับใช้แอพพลิเคชันที่ง่ายขึ้นมาใช้สำหรับผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรมและใช้ระบบไฮบริดคลาวด์มากนัก ความก้าวหน้านี้จะช่วยให้โปรแกรมเมอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบไฮบริดคลาวด์สามารถหันไปทำงานที่เพิ่มมูลค่าให้องค์กร เทคโนโลยีอย่าง IBM Cloud Satellite ที่ใช้ Red Hat OpenShift จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง ปรับใช้ และจัดการระบบคลาวด์ในสภาพแวดล้อมใดๆ ก็ตามจากแดชบอร์ดเดียว
นวัตกรรมใหม่ๆ ด้านฮาร์ดแวร์ระบบไฮบริดคลาวด์ที่ล้ำสมัยและทรงพลังที่สุดบางส่วนจะขยายไปสู่อุปกรณ์ Edge
ฮาร์ดแวร์สำหรับการฝึกโมเดล AI ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล รวมทั้งใช้เงิน เวลา และพลังงานอย่างมากตัวอย่างเช่น โมเดลระดับอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันก็คือ GPT-3 จาก OpenAI ซึ่งมีพารามิเตอร์มากถึง 175,000 ล้านพารามิเตอร์ หรือใหญ่กว่าโมเดลเมื่อ 2-3 ปีก่อนมากกว่า 100 เท่า การฝึกโมเดลเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้านบาท และก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ที่สูงกว่าการปล่อยมลพิษตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์ 20 คัน
ในปี 2564 เราจะได้เห็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านฮาร์ดแวร์ AI ที่ใช้ในการสร้างและปรับใช้โมเดล AI ประสิทธิภาพของระบบการฝึก AI จะเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับระบบที่ดีที่สุดที่มีในปัจจุบัน เมื่อประกอบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 5G การประมวลผล AI ณ จุดที่ข้อมูลเกิดขึ้น จะสามารถทำลายพรมแดนระหว่างระบบคลาวด์และ edge ลงได้ ซึ่งจะนำสู่ความก้าวหน้าที่สำคัญสำหรับโครงสร้างพื้นฐานระบบไฮบริดคลาวด์ รวมถึงความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของโมเดล AI ด้วยการเก็บข้อมูลไว้ที่ edge มากขึ้น โดยคาดว่าสถาปัตยกรรมเซลลูลาร์ 5G จะเป็นตัวเร่งที่กระตุ้นให้เกิดการใช้งาน edge computing ในวงกว้าง

ตัวเร่งฮาร์ดแวร์ AI บนโครงสร้างพื้นฐานระบบไฮบริดคลาวด์จะสามารถรองรับการฝึก AI ขนาดใหญ่ในศูนย์ข้อมูล และเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ AI นี้ยังสามารถนำไปปรับใช้ในขนาดที่เล็กกว่าหรือฝังลงในโปรเซสเซอร์อื่นๆ บน edge ได้ นอกจากนี้ การขยายตัวเร่งฮาร์ดแวร์ที่เข้ากันได้กับ OpenShift จะช่วยสนับสนุนการใช้การประมวลผลฮาร์ดแวร์ AI ได้อย่างยืดหยุ่น
ปี 2564 เราจะเห็นการมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงพลังและประสิทธิภาพของ AI เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายในการใช้คลาวด์ได้อย่างปลอดภัย ลดความซับซ้อน และช่วยจัดการสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ให้กับผู้ใช้จำนวนมากขึ้น
เป็นที่ชัดเจนว่าไฮบริดคลาวด์จะช่วยให้องค์กรทลายอุปสรรคและสามารถเดินหน้ากลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่อนาคต แพลตฟอร์มคลาวด์แบบเปิด ที่รองรับ automated workflow และเอื้อให้ธุรกิจสามารถ deploy แอพพลิเคชันเพียงครั้งเดียวแต่ใช้ได้ในทุกสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็น on-premise หรือ public cloud ไหน โดยไม่ติดปัญหา vendor lock-in และไม่มีค่าใช้จ่ายซ่อนเร้นอย่างค่าถ่ายโอนข้อมูล (data transfer) เข้า-ออกจากคลาวด์ ที่บางครั้งอาจสูงถึง 30% ของค่าคลาวด์ จะเป็นองค์ประกอบของคลาวด์ที่ธุรกิจมองหา
ระดับความปลอดภัยสูงสุดอย่างมาตรฐาน FIPS 140-2 Level 4 ของ IBM Cloud หรือเทคโนโลยีด้านซิเคียวริตี้ อย่างการประมวลผลที่มีการรักษาความลับของข้อมูล (Confidential Computing) การเข้ารหัสแบบ Quantum-Safe และการเข้ารหัสแบบ Homomorphic อย่างเต็มรูปแบบ จะทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ แม้แต่อุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจำนวนมาก ตัดสินเริ่มย้ายระบบสู่ไฮบริดคลาวด์