ก่อนเริ่มต้นงาน COMPUTEX 2024 ที่ปีนี้มาในธีม “Connecting AI” อย่างเป็นทางการ ได้มีการบรรยายเซสชัน Keynote มากมายจากผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก และเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมาคือเซสชัน Keynote แรกโดย NVIDIA CEO คุณ Jensen Huang ที่มีเรื่องราวมากมายมาบอกเล่าอย่างเข้มข้นตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงเต็ม
แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ แทบทั้งหมดมาในธีมของ “AI” และนี่คือ 10 สิ่งที่ Jensen Huang กล่าวในเซสชัน Keynote ที่อาจบอกถึงทิศทางของ NVIDIA ที่กำลังขับเคลื่อนวิวัฒนาการของ Generative AI อย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งผลกระทบของ Generative AI ที่กำลังเกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรม และเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้าในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
๋
NVIDIA CEO คุณ Jensen Huang บรรยายเซสชัน Keynote ในงาน COMPUTEX 2024
Credit : NVIDIA
1. โลกการประมวลผลรูปแบบใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ก่อนเข้าสู่ประเด็น คุณ Jensen ได้เล่าถึงโลกการประมวลผล (Computing) ที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบใหม่ ซึ่ง “Graphic Processing Unit (GPU)” คือสิ่งที่สามารถช่วยเร่งให้การประมวลผลข้อมูลที่เพิ่มขึ้นทุกวัน สามารถทำได้ทัน เพราะ Central Processing Unit (CPU) รูปแบบเดิม ๆ นั้นมีวิวัฒนาการที่ช้าลง จนไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้อีกแล้ว
หนึ่งในสิ่งที่ NVIDIA สร้างขึ้นมาสนับสนุนให้การประมวลผลและนักพัฒนาระบบให้สามารถทำได้เร็วขึ้นคือ “CUDA” สิ่งนี้ได้ทำให้การประมวลผลมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ และกำลังจะส่งผลให้เกิดการใช้งานในวงกว้างมากยิ่งขึ้นอีก จนทำให้นวัตกรรมใหม่หรือไอเดียใหม่ ๆ จะสามารถเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น จนทำให้สิ่งที่อาจจะเรียกว่า “ยังเป็นไปไม่ได้” มากมายที่มีก่อนหน้านี้ ได้เริ่มกลายมาเป็น “เป็นไปได้” แล้ว
2. “Earth-2” จำลองโลกทั้งใบใน Digital Twin
NVIDIA Earth-2 คือโครงการที่คุณ Jensen บอกว่าเป็นไอเดียในการสร้าง Digital Twin โลกทั้งใบขึ้นมา เพื่อจำลองโลกทั้งใบขึ้นมาและสามารถทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยพิบัติต่าง ๆ หรือว่าเป็นเรื่องสภาพภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น
ปัจจุบัน ภายใน Earth-2 ได้มีโมเดล Generative AI ชื่อ CorrDiff ซึ่งเป็นบริการและซอฟต์แวร์สำหรับการวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศ โดยโมเดลนี้ได้ทำให้ไต้หวันสามารถทำนายสภาพอากาศในอนาคตอันใกล้ได้แม่นยำขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น ที่สำคัญยังเร็วขึ้นกว่าเดิม 1,000 เท่า และใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย ซึ่งในอนาคต Earth-2 อาจจะทำให้สามารถพยากรณ์สภาพอากาศ “ทั้งโลก” ได้ล่วงหน้า ก็เป็นได้
3. “AI Factory” ทุกสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ เราสามารถสร้าง (Generate) มันได้
หลังจาก ChatGPT ได้กำเนิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 สิ่งนี้ได้ทำให้โลกรู้จักกับคำว่า “Generative AI” อย่างเป็นทางการ และนั่นได้ทำให้การรับรู้ AI ทั้งโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ของ AI นั้นเรียกว่า “โทเคน (Token)” ไม่ว่าจะเป็นภาพ วีดีโอ เสียง เพลง หรือแม้กระทั่งฟิสิกส์ และสิ่งนี้สามารถมองเป็นทฤษฎีว่า “ทุกอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้ เราสามารถสร้างมันได้แล้วตอนนี้”
นี่จึงเป็นที่มาของ “AI Factory” ที่ NVIDIA จะมาปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้งหลาย เพราะคอมพิวเตอร์แห่งโลกอนาคตจะเป็นลักษณะการสร้าง (Generate) เป็นหลัก และจะค้นหา (Retrieve) เฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นแล้ว ดังนั้น AI Factory จึงจะเป็นเหมือนโรงงานที่พร้อมสร้างสรรค์ให้กับแต่ละภาคอุตสาหกรรมไปใช้งานได้ทัน และสามารถทำงานแทนได้เลยด้วย
4. “NVIDIA NIM” คอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ผ่าน Microservice
NVIDIA Intelligence Microservice (NIM) หรือบริการ AI ที่เป็น Pre-trained Model ในรูปแบบ Microservice นั้นกำลังจะเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ที่เป็นมัดรวม AI ไว้ให้ใช้งานได้อยู่ในกล่องเดียว (AI-in-the-box) ซึ่งในเซสชัน Keynote คุณ Jensen ได้เผยว่าสามารถดาวน์โหลด NIM ไปใช้งานได้บน Cloud, Data Center หรือ Workstation ได้แล้ว
เนื่องจาก NIM มีลักษณะเป็น Cloud-Native การใช้งานบน Cloud จะสามารถขยายขนาด (Scale) ได้ การใช้งานก็สามารถเชื่อมโยงผ่าน API หรือว่าสามารถพูดคุยเหมือนกับ ChatGPT ได้ทันที ด้วยพาร์ตเนอร์เทคโนโลยีมากกว่า 200 เจ้าที่พร้อมให้บริการใน NIM จะทำให้องค์กรที่กำลังมองหาแนวทางปรับใช้ Generative AI สามารถเริ่มต้นผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ AI นี้ได้อย่างรวดเร็ว
ที่น่าสนใจ คือคุณ Jensen คาดเดาว่าในอนาคตองค์กรจะมี NIM จำนวนมากเกิดขึ้น และการทำงานในระดับแอปพลิเคชันจะเปลี่ยนไป โดยจะเป็นลักษณะการส่งภารกิจ (Task) ไปให้ NIM ตัวหนึ่งทำงาน แล้ว NIM นั้นจะไปคุยกับ NIM อื่น ๆ พร้อมทั้งแบ่งงานกันไปทำอย่างอัตโนมัติ จนเมื่อทำงานเสร็จก็จะส่งผลลัพธ์กลับมาให้ผู้ใช้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีลักษณะการทำงานเป็นทีมนั่นเอง
5. “NVIDIA ACE NIM” สามารถรันบน Cloud ได้แล้ว
Digital Human คือหนึ่งในวิสัยทัศน์ของ NVIDIA ที่อยากจะไปให้ถึง นี่จึงเป็นที่มาของ NVIDIA ACE (Avatar Cloud Engine) ชุดเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทำให้สร้างมนุษย์ดิจิทัล (Digital Human) ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เช่น การสร้างฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Service) โฆษณา หรือการเป็นพยาบาลดิจิทัล เป็นต้น
และในเซสชัน Keynote นี้ ทาง NVIDIA ได้เปิดให้ NVIDIA ACE เข้าสู่สถานะ General Availability บน Cloud แล้ว พร้อมทั้งประกาศให้ Early Access ได้บน RTX AI PCs อีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยขับเคลื่อนให้การเกิด Digital Human ทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และพร้อมใช้งานได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม
6. อนาคตของ PC จะเป็น “AI PC”
เรื่องนี้ชัดเจนว่าคอมพิวเตอร์ยุคอนาคตอันใกล้นี้คือ AI PC ซึ่งนอกจากจะมีหน่วยประมวลผลจะมี NPU อยู่ภายในแล้ว จะยังรวมไปถึงฟีเจอร์ AI ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้เร็วขึ้น ซึ่งในเซสชันนี้ คุณ Jensen เผยว่าจะมี RTX AI PC ออกมาอย่างต่อเนื่อง และจะสามารถรัน NIM สร้าง Digital Human บนเครื่องเหล่านั้นได้เลย
นอกจากนี้ NVIDIA ยังปล่อย NVIDIA RTX AI Toolkit ชุดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาระบบ ที่จะช่วยสนับสนุนให้การพัฒนาปรับปรุงและ Deploy โมเดล Generative AI ทำได้ง่ายขึ้นบน Windows PC
7. “NVIDIA Blackwell” เริ่ม Production แล้ว
เพราะในอนาคต โลกจะต้องการ AI ที่เข้าใจกฎของฟิสิกส์ สิ่งนี้จำเป็นจะต้องมีการประมวลผลอย่างมหาศาล ซึ่ง “NVIDIA Blackwell” คือคำตอบที่จะทำให้ความต้องการประมวลผลเกิดขึ้นได้ ซึ่งจากการ NVIDIA GTC เมื่อสองเดือนก่อนที่ได้พรีวิวไปก่อนหน้าจะยังเป็นตัว Prototype เท่านั้น ล่าสุดในงาน COMPUTEX 2024 คุณ Jensen บอกชัดเจนเริ่ม Production เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
8. “NVIDIA Spectrum-X” แพลตฟอร์ม Ethernet เสริมความเร็วสำหรับ Generative AI
ภายในเซสชัน คุณ Jensen ได้เล่าถึงเรื่องราวของอินเทอร์เน็ตที่การเชื่อมโยงจะเน้นเรื่อง Throughput เป็นสำคัญ จึงทำให้ Ethernet แบบดั้งเดิมถูกออกแบบมาอย่างนั้น หากแต่ในส่วนของ AI จะเป็นเหมือนการพูดคุยกันเองมากกว่าในการ Training หรือ Inference ซึ่ง Traffic ลักษณะนี้ไม่ได้เหมาะกับการใช้งาน Ethernet แบบดั้งเดิม
ด้วยเหตุนี้ NVIDIA จึงสร้างเป็น NVIDIA Spectrum-X แพลตฟอร์มเน็ตเวิร์ก Ethernet ขึ้นมาสำหรับ Generative AI Workload ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Ethernet แบบดั้งเดิมมากกว่า 1.6 เท่า เพื่อสนับสนุนการทำงานของ Generative AI ที่มีความต้องการอย่างมากได้เร็วขึ้น รวมทั้งยังประกาศจะออก Spectrum รุ่นใหม่ออกมาทุกปีอีกด้วย
9. “Rubin Platform” แพลตฟอร์มถัดไป ต่อจาก Blackwell
ณ ตอนนี้ NVIDIA ได้เริ่มต้นยุคของ Blackwell Platform ที่จะมี GPU รวมทั้ง NVLink และ Spectrum-X ในการสนับสนุนการประมวลผล Generative AI เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในปีหน้า คุณ Jensen เผยว่าจะยังคงเป็น Blackwell Ultra และ Spectrum Ultra หากแต่หลังจาก Blackwell Platform จะเป็นแพลตฟอร์มภายใต้ชื่อใหม่ คือ “Rubin Platform” ซึ่งจะมี Rubin Ultra ออกมาในปีถัดไปเช่นกัน
10. AI ในอนาคตคือ Physical AI
คุณ Jensen มองว่า AI ในอนาคตคือ Physical AI หรือก็คือหุ่นยนต์ Robotics ต่าง ๆ ซึ่งมันเริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ ด้วย NVIDIA Omniverse ที่สามารถใช้เป็นสถานที่ทดลองฝึกฝน AI และหุ่นยนต์ใน Digital Twin ให้สามารถเข้าใจกฎของฟิสิกส์จนสามารถจำลองการทำงานได้เสมือนจริง ก่อนที่จะสร้างโรงงานจริงขึ้นมาได้สำเร็จ
ปัจจุบันได้มีหลายองค์กรสามารถทำสำเร็จแล้ว เช่น โรงงานของ Foxconn, Siemens, Delta ฯลฯ และในอนาคตจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ในอีกหลากหลาย Use Case แน่นอน
บทส่งท้าย
ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ NVIDIA CEO คุณ Jensen Huang ได้กล่าวในเซสชัน Keynote สำหรับงาน COMPUTEX 2024 ปีนี้ ซึ่งยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น NVIDIA IGX, MGX โดยสามารถย้อนกลับไปดูเซสชันเต็ม ๆ ได้ที่ YouTube ของทาง NVIDIA