Opsta เปิดตัว Opstella 5.0 บริหารจัดการ DevSecOps ง่ายขึ้น เปิดตัว Edition ใหม่ รุกตลาดธุรกิจขนาดกลางและ Enterprise

เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา Opsta ผู้พัฒนา DevSecOps Platform สัญชาติไทย ได้ประกาศเปิดตัว Opstella 5.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของแพลตฟอร์ม ที่จะช่วยให้ธุรกิจองค์กรสามารถสร้างและบริหารจัดการระบบ DevSecOps จากศูนย์กลางได้อย่างสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมเปิดตัว Edition ใหม่ของระบบที่จะช่วยให้ธุรกิจหรือทีมพัฒนา Software ขนาดกลางที่กำลังเติบโต สามารถสร้างระบบ DevSecOps ขึ้นมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า

การมาของ Opstella 5.0 นี้จะช่วยตอบโจทย์ให้กับธุรกิจ, นักพัฒนา Software และผู้ดูแลระบบ IT ได้อย่างไรบ้าง? มาพบกับคำตอบกันได้ในบทความนี้ครับ

ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า Opstella ของ Opsta นั้นเป็น Platform สำหรับการบริหารจัดการ Kubernetes แต่ในความเป็นจริงนั้นสิ่งที่ Opsta พัฒนาขึ้นมาคือระบบสำหรับการบริหารจัดการ Component ต่างๆ ในการวางระบบ DevSecOps สำหรับภาคธุรกิจให้สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยการบริหารจัดการ Kubernetes นั้นเป็นเพียงแค่ความสามารถส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น

ในการอัปเกรดสู่ Opstella 5.0 ครั้งนี้ สิ่งที่ทีมงาน Opstella ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือความง่ายดายในการบริหารจัดการในภาพรวมที่มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

โดยรวมแล้ว สิ่งที่ Opstella สามารถทำได้ มีดังต่อไปนี้

1. บริหารจัดการ Platform และ Application Management บน Multi-Cloud

ใน Opstella 5.0 นี้มีการปรับปรุง UI ครั้งใหญ่ให้สามารถตรวจสอบและบริหารจัดการระบบต่างๆ บน Multi-Cloud ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น โดย Opstella จะทำการรวบรวมข้อมูลของทุก Application, System, Microservices บนทุก Cloud ที่องค์กรใช้งานมาอยู่ในหน้าเดียวกัน และสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานได้อย่างง่ายดาย พร้อมทราบว่าระบบใดมีทีมใดเป็นผู้ดูแล และสามารถเข้าไปทำการตรวจสอบและบริหารจัดการในเชิงลึกสำหรับแต่ละระบบได้อย่างง่ายดาย

ปัจจุบัน Opstella รองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Azure, Google Cloud, AWS, VMware Tanzu, Huawei Cloud และ Nutanix ได้ ดังนั้นองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ด้าน Hybrid Multi-Cloud จึงสามารถใช้งาน Opstella เพื่อนำศักยภาพของระบบ IT Infrastructure ที่มีอยู่มาสร้างรากฐานในการทำ DevSecOps ได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด

2. ผสานรวมระบบโดยอัตโนมัติ วางระบบพร้อมใช้งานเครื่องมือ DevSecOps ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องได้ในแบบ Single Sign-On

สำหรับการวางระบบ DevSecOps เพื่อให้ทีม Software Development ใช้งานนั้น Opstella สามารถช่วย Deploy เครื่องมือ Open Source ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้ภายในการคลิกเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง โดยปัจจุบัน Opstella จะรองรับการจัดการเครื่องมือดังต่อไปนี้

  • การจัดการ Source Code ด้วย GitLab Version Control
  • การจัดเก็บ Container Image ด้วย Harbor Container Registry
  • การจัดการและดูสถานะ Applications บน Kubernetes Container Cluster ด้วย Headlamp
  • การทดสอบและ Build Applications แบบอัตโนมัติด้วย GitLab Continuous Integration (CI)
  • การ Deploy ระบบแบบอัตโนมัติจาก Development Environment ไปจนถึง Production ในรูปแบบ Zero-Downtime ที่สามารถกำหนดสิทธิ์ผู้ที่รับผิดชอบได้ ด้วย ArgoCD ในการทำ Continuous Deployment (CD)
  • การตรวจสอบ Application Security ตามมาตรฐาน Gartner CNAPP ไม่ว่าจะเป็น Source Code, Libraries, Dependencies, Container Image, และ API ด้วย SonarQube, Trivy, และ OWASP ZAP รวมถึงสามารถ Integrate ได้กับเครื่องมือ Commercial Security ชั้นนำในตลาดได้หลากหลาย
  • ระบบการจัดการช่องโหว่ของ Applications และการออกรายงานจากศูนย์กลาง (Vulnerability Management) ด้วย DefectDojo
  • ระบบการจัดการรหัสผ่านและคีย์ต่าง ๆ ของ Applications จากศูนย์กลางด้วย Hashicorp Vault Secrets Management
  • การ Monitor Infrastructure และ Applications สมัยใหม่ในรูปแบบของ Observability ด้วย Metrics, Logs, และ Traces ด้วย Grafana LGTM Stack

โดยผู้ดูแลระบบเพียงแค่ทำการตั้งค่าให้เครื่องมือข้างต้นให้ทำงานร่วมกับ Opstella แล้วผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ผ่านทาง Single Sign-On ที่ทำการผูกการยืนยันตัวตนของระบบทั้งหมดเข้ากับฐานข้อมูลผู้ใช้งาน ทำให้การนำ DevSecOps Platform ที่สร้างขึ้นมานี้ไปใช้งานสามารถทำได้อย่างสะดวกและมั่นคงปลอดภัย

3. ตรวจสอบและบริหารจัดการ Application และ Microservices ในองค์กรได้จากศูนย์กลาง

เมื่อธุรกิจมีระบบ DevSecOps ให้พร้อมใช้งานและเริ่มมีการพัฒนา Application ของตนเองบน Platform แล้ว Opstella จะสามารถช่วยบริหารจัดการ Application และ Microservices ทั้งหมดภายในแต่ละโครงการได้จากศูนย์กลาง โดยมีหน้า Dashboard สำหรับตรวจสอบสถานะการทำงาน และการบริหารจัดการ Cluster หรือการแก้ไขค่าตัวแปรต่าง ๆ ได้ผ่านหน้า Web UI ช่วยให้การดูแลรักษา Service ขององค์กรและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

4. วางระบบ Observability ติดตามประสิทธิภาพและปัญหาของทุก Application และ Microservices โดยอัตโนมัติ

นอกเหนือจากการติดตามการทำงานของระบบใด ๆ ในภาพรวมแล้ว Opstella 5.0 นี้ยังได้เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบประสิทธิภาพและปัญหาของระบบด้วยแนวคิด Observability เพิ่มเข้ามา โดยมีการรวบรวมข้อมูล Trace, Metric และ Log ของระบบที่ทำงานอยู่ภายใต้ Opstella นำมาแสดงผลบน Dashboard กลาง ทำให้พร้อมต่อการดูแลรักษาระบบใน Day 2 Operation ได้อย่างต่อเนื่องและลื่นไหล ไม่ต้องลงทุนระบบ Observability แยกและติดตั้งให้วุ่นวายอย่างในอดีตอีกต่อไป

5. ขึ้นระบบให้ Software Developer พร้อมใช้งานได้อย่างง่ายดาย ด้วย Enterprise Application Template

ด้วยประสบการณ์ของทีมงาน Opsta ในการทำงานร่วมกับองค์กรหลายแห่งเพื่อวางระบบ DevSecOps ภายใน Environment ที่หลากหลาย ทำให้ Opstella 5.0 นี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยรองรับ Enterprise Application Template ที่ครบถ้วน ไม่ว่าองค์กรจะใช้ภาษา Programming Language ใดหรือ Framework ในการพัฒนา Software ตัวระบบก็พร้อมจะ Deploy ระบบที่จำเป็นให้พร้อมใช้งานได้ทันที

นอกจากนี้ Opstella ยังเปิดให้แต่ละองค์กรสามารถทำการสร้างและแก้ไข Template ของตนเองเพื่อรองรับการใช้ Framework ที่ต้องการได้อีกด้วย

6. ตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของ IT Infrastructure ภายในระบบ DevSecOps และบริหารจัดการได้จากศูนย์กลาง

ในแง่ของความมั่นคงปลอดภัย Opstella จะทำการตรวจสอบช่องโหว่ของ Software Package ที่มีการใช้งานภายในระบบให้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำ Static Application Security Testing (SAST), Dynamic Application Security Testing (DAST), Software Component Analytis (SCA), Container Scan และอื่นๆ พร้อมสรุปข้อมูลและจัดลำดับความสำคัญในการบริหารจัดการกับช่องโหว่ต่างๆ ให้ในหน้าจอเดียว

เครื่องมือนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับธุรกิจที่มีระบบ Application ที่หลากหลายและซับซ้อนในแต่ละโครงการ เนื่องจากการติดตามตรวจสอบปัญหาและช่องโหว่ด้านความมั่นคงปลอดภัยในระบบที่มีองค์ประกอบหลากหลายนี้ไม่ใช่งานง่าย

7. ต่อยอดระบบสู่การรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้วย CNAPP

สำหรับธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่มีวิสัยทัศน์ในการนำ CNAPP Framework มาใช้งานเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยอย่างครบวงจร Opstella ก็พร้อมที่จะวางรากฐานในการเดินหน้าสู่ Framework ดังกล่าวได้ทั้งในส่วนของการทำ Artifact Scanning, Security และ Cloud Configuration อีกทั้งยังสามารถผสานระบบทำงานร่วมกับโซลูชันด้านการทำ Runtime Protection ชั้นนำระดับโลกได้ตามต้องการ

จะเห็นได้ว่า Opstella 5.0 นี้สามารถตอบโจทย์ความคุ้มค่าในการลงทุนด้าน DevSecOps ในหลายแง่มุมมาก ไม่ว่าจะเป็น

  • การได้ระบบ Hybrid Multi-Cloud Kubernetes Management ไปใช้งาน
  • การได้ระบบ DevOps, Observability และ Security ไปใช้งาน
  • การทำ Automation ในการ Integrate ระบบและการทำ Single Sign-On ในตัว

ที่ผ่านมา Opstella ได้ถูกเลือกใช้โดยองค์กรชั้นนำในไทยและต่างประเทศ โดยมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจสามารถหยิบยกมาเล่าให้เห็นภาพกันได้ ดังนี้

1. องค์กรแห่งหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนา SuperApp ให้บริการผู้ใช้งานจำนวนมาก ซึ่งมีโจทย์ว่าต้องการการเพิ่มขยายระบบที่รวดเร็ว เพื่อรองรับการ Integrate ข้อมูลเข้ากับระบบย่อยอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับ SuperApp ได้อย่างต่อเนื่อง

เดิมทีองค์กรแห่งที่เผชิญกับปัญหาว่า ในการขึ้นระบบย่อย ๆ ภายใต้ SuperApp แต่ละครั้งนั้น ต้องใช้เวลาในการเตรียมระบบ Infrastructure, การตรวจสอบด้าน Cybersecurity และการกำหนดทิศทางของ Framework ให้ตรงกับความต้องการของ Software Developer นานมาก จนเมื่อได้นำ Opstella ไปใช้ก็สามารถขึ้น Application และ Microservices จำนวนมากได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนแรกที่เริ่มใช้งานจากความคล่องตัวในการขึ้นระบบใหม่ได้อย่างรวดเร็วตามต้องการ จนปัจจุบันนี้องค์กรแห่งนี้มีการใช้งานกว่า 200 Microservices บน Opstella แล้ว

นอกจากนี้ Opstella ยังช่วยให้องค์กรแห่งนี้ก้าวสู่การทำ Hybrid Multi-Cloud ได้อย่างคล่องตัว โดยในโครงการที่มีความเร่งรีบจนไม่สามารถสั่งซื้อ Hardware มาใช้งานได้ทัน ก็สามารถใช้ Opstella ช่วยวางระบบบน Cloud ใช้งานบน Cloud ไปในระหว่างที่รอ Hardware ได้ และเมื่อ Hardware ถูกส่งมอบติดตั้งใช้งานเรียบร้อย ก็สามารถย้ายระบบจาก Cloud ลงมาสู่ On-Premises ได้ทันที

2. ธนาคารแห่งหนึ่งในต่างประเทศซึ่งมีการแข่งขันด้านการพัฒนา FinTech สูง ได้เลือกใช้ Opstella เป็นระบบกลางสำหรับการทำ DevSecOps ให้กับองค์กร เพื่อให้การวางระบบมีมาตรฐานมากขึ้น และสามารถส่งต่อความรู้ด้าน DevSecOps ภายในองค์กรได้ง่ายขึ้น

โจทย์สำคัญขององค์กรแห่งนี้คือการที่เดิมทีผู้ที่ดูแล DevSecOps นั้นต้องมีองค์ความรู้ที่หลากหลายมาก ในขณะที่ทีมงานอาจจะไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือมีเพียงแค่คนเดียว ทำให้เกิดเป็นความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการในเชิง IT แก่องค์กร ทางธนาคารจึงได้ตัดสินใจเลือกใช้ Opstella เพื่อกำหนดระบบให้เป็นมาตรฐาน ใช้งานได้ง่าย และช่วยให้องค์กรไม่ต้องมีความเสี่ยงด้านบุคลากรในการบริหารจัดการระบบ DevSecOps มากอย่างในอดีต

ธนาคารแห่งนี้ได้ใช้ Opstella เป็น Platform หลักสำหรับการพัฒนา Mobile Application ของธนาคาร โดยมีการนำเข้ากระบวนการเพื่อทำการตรวจสอบตาม Compliance มาตรฐานขององค์กรด้านการเงิน ซึ่ง Opstella ก็สามารถตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้อย่างครบถ้วน

ปัจจุบันธนาคารแห่งนี้ได้ก้าวสู่กลยุทธ์ด้าน Hybrid Multi-Cloud ได้สำเร็จอย่างเต็มตัว โดยภายใน Mobile Application ดังกล่าวมีการผสมผสานกันระหว่างระบบที่อยู่บน Cloud และ On-Premises พร้อมทั้งมีการทำงานร่วมกันในแบบ Disaster Recovery ได้ ทำให้การพัฒนาความสามารถใหม่ๆ หรือ Mobile Application ใหม่ๆ ของธนาคารแห่งนี้เป็นไปได้อย่างคล่องตัวและมั่นใจ

อีกประเด็นสำคัญในการเปิดตัว Opstella 5.0 ครั้งนี้คือการเปิดตัว License แบบใหม่ ทำให้ปัจจุบันมีการใช้งาน Opstella ได้ใน 2 รูปแบบ ได้แก่

  1. DevSecOps Edition สำหรับองค์กรที่มีทีมพัฒนา Software ขนาดใหญ่ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งต้องการการบริหารจัดการอย่างครอบคลุมทั้งส่วนของ DevOps และการดูแลรักษาด้าน Cybersecurity
  2. Container Operation Edition สำหรับองค์กรที่ต้องการเริ่มต้นจากการดูแลรักษา Container บน Hybrid Multi-Cloud Infrastructure เป็นหลัก โดยมุ่งเน้นการนำ Software ที่พัฒนาบนระบบ DevOps อื่นๆ มา Deploy บน Production ขององค์กร ซึ่งจะมีราคาที่ย่อมเยาว์เข้าถึงได้ง่ายกว่า

สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชัน Opstella หรือต้องการที่ปรึกษาในการวางระบบ DevSecOps สำหรับองค์กร สามารถติดต่อทีมงาน Opsta ได้ทันทีที่ 061-123-4089 หรือลงทะเบียนเพื่อนัดคุยกับผู้เชี่ยวชาญทีม Opstella ที่ https://bit.ly/contact-opstella สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Opstella เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเองที่ https://www.opstella.co.th/

About chatchai

Tech Writer แห่ง TechTalk Thai ที่สนใจในทุกนวัตกรรมและเทคโนโลยี

Check Also

Soft De’but จัดงาน Soft De’but : Breakthrough 2025 เพื่อขอบคุณพาร์ทเนอร์ พร้อมเปิดเวทีอัปเดตโซลูชันแห่งปี 2025 [Guest Post]

Soft De’but  ผู้นำเข้าและพัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำระดับโลก จัดงาน Soft De’but : Breakthrough 2025 เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมา ณ BDMS Connect …

เจาะลึกกลยุทธ์ลดต้นทุนอีเมลและเสวนาออนไลน์สุดพิเศษในหัวข้อ: “Huawei Cloud x Vonosis x Unixdev Online Webinar สัมนาฟรี ![27ก.พ.68 | 14:00 น.]

Huawei Cloud, Vonosis และ Unixdev ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วม Huawei Cloud x Vonosis x Unixdev Online Webinar เพื่อพบปะพูดคุยกับคนในวงการคลาวด์และอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี …