ในเดือนมิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ทาง VMware by Broadcom ได้ประกาศเปิดตัว VMware Cloud Foundation 9.0 ในระดับ General Availability ออกมาแล้วอย่างเป็นทางการ เพื่อยกระดับโซลูชัน Private Cloud สำหรับธุรกิจองค์กรให้เทียบชั้นได้กับบริการ Public Cloud ชั้นนำ
การเปิดตัวครั้งนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดนิยามใหม่ให้กับ Private Cloud, แนวคิดพื้นฐานใหม่ในการออกแบบ VMware Cloud Foundation 9.0, ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา ไปจนถึงการเปิดตัวโซลูชัน Advanced Services ใหม่ที่สามารถใช้งานได้บน VMware Cloud Foundation 9.0 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะทางของธุรกิจองค์กรแต่ละแห่งในการใช้งาน Private Cloud ที่แตกต่างกันออกไป
ในบทความนี้ เราจะสรุปถึงทุกประเด็นที่ผู้บริหารและผู้ดูแลระบบ IT ในองค์กรควรทราบเกี่ยวกับการอัปเดตใหญ่ครั้งนี้ของ VMware เอาไว้ในบทความเดียวครับ

3 คุณสมบัติของ Modern Private Cloud ที่ดี
VMware by Broadcom ได้ประยุกต์นำแนวโน้มด้าน Private Cloud ที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาใช้เป็นแกนหลักในการนิยามคุณสมบัติของ Private Cloud แห่งอนาคต ทั้งการเกิดขึ้นของเทรนด์ Spanning Data Center ที่ธุรกิจองค์กรแห่งหนึ่งมีการกระจาย Data Center ออกเป็นหลายแห่งให้ Private Cloud ในหลายสาขาทำงานร่วมกัน, การผสาน Edge Data Center เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Hybrid Multicloud, การเติบโตขึ้นของ Private Cloud เพื่อรองรับการแบ่ง Workload ใหม่ๆ อย่างเช่น Cloud-Native และ AI ออกมาจากบริการ Public Cloud ไปจนถึงการเกิดขึ้นของ Sovereign Cloud ทั่วโลกที่รัฐบาลและธุรกิจองค์กรเริ่มมองหาอธิปไตยทางข้อมูล
ด้วยเหตุนี้ VMware Cloud Foundation 9.0 หรือ VCF 9.0 นี้จึงถูกออกแบบมาด้วยวัตถุประสงค์ดังนี้
- ต้องเป็นตัวเร่งให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ – Private Cloud ต้องใช้งานได้ในแบบ Self-Service อย่างเต็มรูปแบบ และมีประสบการณ์การใช้งานในระดับที่ Software Developer สามารถใช้งานด้วยตนเองได้ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา Software โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง Infrastructure ได้ เหมือนกับการใช้งาน Public Cloud
- ต้องสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Private Cloud ได้ – Private Cloud ต้องสามารถติดตามการใช้งานทรัพยากรทุกส่วนได้ในเชิงลึก เพื่อนำมาคำนวณกลับเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้งานภายในองค์กรสำหรับแต่ละภาคส่วน ช่วยให้องค์กรสามารถวางแผน, ทำนายแนวโน้ม และปรับปรุงการใช้ Private Cloud ให้มีความคุ้มค่ามากขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
- ต้องครอบคลุมทั้ง Sovereignty และ Security – Private Cloud จะต้องมีความสามารถในการควบคุมและปกป้องข้อมูลที่เหนือยิ่งขึ้น อีกทั้งยังต้องสามารถอัปเดตอุดช่องโหว่ด้านความมั่นคงปลอดภัยได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อ Uptime ของระบบ และตรวจสอบ Compliance ได้อย่างเข้มข้น
จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติของ Private Cloud ดังกล่าวนี้ จะมุ่งเน้นเรื่องการยกระดับให้เทียบเท่ากับ Public Cloud และเสริมจุดแข็งให้เหนือชั้นกว่าด้วยแนวทางด้าน Sovereignty
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในหลักการออกแบบของ VMware Cloud Foundation 9.0
เมื่อนิยามคุณสมบัติของ Private Cloud แห่งอนาคตเปลี่ยนไป VCF 9.0 ก็ได้มีการออกแบบพัฒนารากฐานใหม่ให้ตอบโจทย์เหล่านั้นอย่างเต็มที่ สร้างประสบการณ์ใหม่ในการทำงานร่วมกับ Private Cloud ดังนี้

1. บริหารจัดการทุกองค์ประกอบของ Private Cloud ได้ในหน้าจอเดียว
VMware ได้ทำการปรับปรุงระบบบริหารจัดการ VCF 9.0 ใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่การติดตั้งระบบที่มีความง่ายดาย สามารถติดตั้งทุกองค์ประกอบรวมกันได้ตั้งแต่การติดตั้งครั้งแรก, การรวมหน้าบริหารจัดการระบบทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลรักษาปรับแต่งการทำงานของ Private Cloud, การจัดการค่าใช้จ่ายและบังคับใช้นโยบายตาม Compliance ทั้งหมดได้จากศูนย์กลาง และการบริหารจัดการในแบบ Fleet Management เพื่อทำการอัปเกรดทั้ง Cluster ได้จากศูนย์กลาง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้การจัดการระบบมีความรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า
ในแง่ของความมั่นคงปลอดภัย ระบบยังมาพร้อมกับการทำ Identity and Access Management ที่ครอบคลุมทั้ง Single Sign-On, Password Policy และ Certificate รวมถึงยังมีการรวมศูนย์ระบบ Log Management เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ได้รวดเร็วกว่าเดิม 2 เท่า โดยมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลทั้งสำหรับการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน Private Cloud และประเด็นด้านความมั่นคงปลอดภัยในตัว
2. นำเสนอประสบการณ์ใหม่ที่ลื่นไหลยิ่งขึ้นในการใช้งาน Private Cloud
VCF 9.0 ได้เสริมประสบการณ์ใหม่สำหรับทีม Platform และทีม Software Development ดังนี้
- ทีม Platform สามารถทำการจัดการทรัพยากรและแบ่ง Tenant สำหรับแต่ละโครงการด้าน IT หรือแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำการกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้งานให้แต่ละ Tenant พร้อมควบคุมการใช้งานให้เป็นไปตาม Compliance ได้
- ทีม Software Development สามารถเข้าใช้งาน Private Cloud ได้ในแบบ Self-Service อย่างสมบูรณ์ตาม Tenant ที่ตนเองมีสิทธิ์เข้าถึง รวมถึงเชื่อมต่อ API และทำ Automation ต่างๆ ได้อย่างสะดวกง่ายดาย มีประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ต่างจาก Public Cloud
3. ผสานรวมแพลตฟอร์ม VM, Container และ Kubernetes เข้าด้วยกัน
ภายใน VCF 9.0 เพียงระบบเดียว สามารถรองรับได้ทั้ง Workload ของระบบ IT แบบดั้งเดิม, Cloud-Native และ AI ร่วมกัน ด้วยการใช้ vSphere Kubernetes Service (VKS) ในการบริหารจัดการทั้ง VM และ Container ด้วยประสบการณ์เดียวกัน ตอบโจทย์การทำ DevOps ที่มีความซับซ้อนสูงได้เป็นอย่างดีพร้อมไปกับการจัดการ VM ในแบบดั้งเดิมในหน้าจอบริหารจัดการเดียว
ในขณะเดียวกัน Software Developer ก็สามารถทำการ Build และ Deploy ระบบ Application ได้อย่างอิสระ ส่วนผู้ดูแลระบบ Platform ก็จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการทรัพยากรและ Security ของระบบ ช่วยให้การทำงานร่วมกันภายในฝ่าย IT เป็นไปได้อย่างราบรื่น
4. ตรวจสอบควบคุมค่าใช้จ่ายของ Private Cloud ได้อย่างโปร่งใส
การควบคุมค่าใช้จ่ายของ Private Cloud สามารถทำได้อย่างละเอียดและครอบคลุมยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่การคำนวณค่าใช้จ่ายด้าน Infrastructure, Software License, ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และค่าใช้จ่ายด้าน Data Center เพื่อคำนวณ TCO ได้อย่างแม่นยำ โดยมีระบบ Analytics ช่วยทำนายแนวโน้มด้านค่าใช้จ่ายเพื่อให้สามารถวางแผนขยายระบบ Private Cloud ได้อย่างเหมาะสม พร้อมการทำ Resource Optimization โดยอัตโนมัติ
ข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถนำมาสรุปเป็นรายงานค่าใช้จ่ายในการใช้งานทรัพยากร Private Cloud สำหรับแต่ละ Tenant เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าของแต่ละระบบที่ทำงานอยู่บน Private Cloud และวิเคราะห์จุดคุ้มทุนในการลงทุน Private Cloud ได้อย่างครบวงจร
5. มีอธิปไตยทางข้อมูลและมั่นคงปลอดภัย
VCF 9.0 มีการเสริมหน้า SecOps Dashboard เข้ามาเพื่อใช้ในการตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของ Platform และภาพรวมของการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล พร้อมแสดงผลการทำ Compliance ของ Private Cloud
นอกจากนี้ VCF 9.0 ยังรองรับเทคโนโลยี Confidential Computing จาก Intel และ AMD ช่วยเสริมความสามารถในการจัดเก็บกุญแจเข้ารหัสข้อมูลและการเข้ารหัสหน่วยความจำ ส่งผลให้ธุรกิจองค์กรสามารถนำระบบที่มีความละเอียดอ่อนของข้อมูลสูงมาทำงานภายใน Private Cloud ได้อย่างมั่นใจ

ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจใน VMware Cloud Foundation 9.0
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ๆ นอกเหนือจากการบริหารจัดการ Private Cloud ด้วยแนวคิดใหม่ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว VCF 9.0 ยังมาพร้อมกับความสามารถดังต่อไปนี้

- NVMe Memory Tiering สามารถใช้ NVMe ทำหน้าที่เป็น Secondary Memory Tier ในแต่ละ Host ได้ ช่วยเพิ่มขนาดของหน่วยความจำให้กับระบบได้ปริมาณมหาศาลในต้นทุนที่คุ้มค่ายิ่งขึ้น
- Integrated vSAN Global Deduplication สามารถทำการลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลด้วยเทคนิค Deduplication ในระดับ Cluster ของ vSAN Express Storage Architecture ได้
- Self-Service Private Cloud with VPC ด้วยการผสานการบริหารจัดการ NSX VPC เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ vSphere UI ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการระบบเครือข่ายได้ผ่านทาง vSphere UI, API และ CLI อย่างง่ายดาย
- Supervisor Services ผู้ดูแลระบบและผู้มีสิทธิ์ในแต่ละ Tenant สามารถทำการ Provision ระบบ IaaS ที่ครอบคลุมทั้ง VM, Kubernetes, Network, Volume, Database และอื่นๆ ด้วยตนเอง ได้ทั้งหมด รวมถึงยังจัดการทรัพยากรผ่าน K8s CLI/UI/API ได้ ช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรใน Private Cloud เป็นไปได้อย่างคล่องตัวยิ่งกว่าเดิม
- Custom Blueprint Development สามารถกำหนดค่าของ Machine, App, Service ใน VCF ผ่านหน้าจอ Drag-and-Drop และ Low-Code YAML ได้ ทำให้ทีมพัฒนา Software สามารถนำไปใช้งานต่อได้ด้วยตนเอง
- Live Patching for ESX สามารถอัปเดต Patch ให้กับ Host ได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงานของ Host หรือย้าย VM ออกจาก Host นั้นๆ
- vSAN-to-vSAN Replication สามารถทำ Data Replication สำหรับ vSAN Data Protection Snapshot ระหวา่ง vSAN ESA Datastore, HCI และ Storage ได้ พร้อมทั้งยังมี Immutable Snapshot สำหรับรับมือกับ Ransomware และยังรองรับการทำ Asynchronous Replication ได้
- Cyber Recovery to On-Premises VCF Sites สามารถกู้คืนระบบที่ถูกโจมตีโดย Ransomware ไปยัง On-Premises VCF Target ที่ต้องการได้ และยังสามารถทำ Remote Replication ระหว่าง VCF ในต่างสาขาได้ดีขึ้น

โซลูชัน Advanced Services เพิ่มความสามารถที่ต้องการบน VMware Cloud Foundation 9.0
สำหรับธุรกิจที่มองถึงการประยุกต์นำโซลูชันมาใช้งานบน Private Cloud เพื่อให้องค์กรสามารถเร่งสร้างนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ใน VCF 9.0 มีบริการเสริมอย่าง Advanced Services ให้เลือกใช้งานได้ดังนี้
- VMware Private AI Foundation with NVIDIA ระบบสำหรับรองรับ AI Workload ด้วยความสามารถอย่างเช่น GPU-as-a-Service ที่รองรับ Multi-Tenant, vGPU Profile Visibility, GPU & vGPU Monitoring, Model Runtime สำหรับการใช้งาน AI Model ได้อย่างง่ายดาย, Agent Builder Service สำหรับการพัฒนา AI Agent และการเสริม Cybersecurity สำหรับ AI
- VMware Live Recovery โซลูชันสำหรับการบริหารจัดการ Cyber Resilience และ Disaster Recovery ให้แก่ VCF
- VMware vDefend โซลูชันสำหรับการเสริมความสามารถ Threat Detection & Response, Zone/App-level Microsegmentation, Distributed Lateral Security และ Zero Trust สำหรับ VCF
- VMware Data Services Manager (DSA) โซลูชันสำหรับการให้บริการ Database-as-a-Service (DBaaS) โดยปัจจุบันรองรับ PostgreSQL และ MySQL แล้ว ส่วนในอนาคจะรองรับ Microsoft SQL Server เพิ่มเติม
- Avi Load Balancer โซลูชันสำหรับเสริมความสามารถ Load Balancer, Global Load Balancer, Application Health & Latency Analytics, Web Application Firewall (WAF) ในแบบ Self-Service สำหรับ VCF
สนใจโซลูชันจาก VMware ติดต่อทีมงาน VST ECS ได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจใช้งานโซลูชันใดๆ จาก VMware สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลหรือขอใบเสนอราคาจากทาง VST ECS ตัวแทนจำหน่าย VMware อย่างเป็นทางการในประเทศไทยได้ที่ vmwareconnect@vstecs.co.th