
ในปี 2016 นี้ เทรนด์เทคโนโลยีในฝั่งของ IT Infrastructure ที่จะมาแรงและน่าจับตามองก็จะมีด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่ Disaggregation, Container และ Hyperconvergence ซึ่งแต่ละตัวเป็นยังไง ทางทีมงาน TechTalkThai ก็ขอสรุปคร่าวๆ ให้อ่านเข้าใจกันได้ง่ายๆ เอาไว้ดังนี้ครับ
Disaggregation การแยก Software ออกจาก Hardware
คำว่า Disaggragation นี้เป็นคำที่ตรงข้ามกับคำว่า Aggregation ที่เราคุ้นเคยกันดีในการทำ Port Aggregation นั่นเอง ความหมายแบบสั้นๆ ก็คือ “การแยกออกจากกัน” ซึ่งคำๆ นี้ถูกนำมาใช้เนื่องจากการมาของ Network Software ที่มีการพัฒนา Operating System Software สำหรับนำมาใช้ทำหน้าที่ในส่วนประกอบต่างๆ ของระบบเครือข่าย และเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถนำ Hardware ที่ต้องการมาติดตั้ง Software เหล่านี้เข้าไปด้วยตัวเองได้อย่างอิสระ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำ Software Defined Networking ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการแยก Network Software ออกจาก Network Hardware นั่นเอง
อุปกรณ์ Hardware สำหรับติดตั้ง Network OS เหล่านี้จะถูกเรียกว่า White Box Hardware เช่น ถ้าถูกออกแบบมาสำหรับติดตั้ง Switch OS ก็จะถูกเรียกว่า White Box Switch เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันนี้ผู้ผลิตอย่าง HP, Dell, Juniper และ Supermicro ต่างก็ผลิต White Box Switch นี้ออกมาวางจำหน่ายแล้ว ซึ่งแนวคิดนี้ก็จะทำให้แต่ละบริษัทสามารถ Focus ไปกับการพัฒนาสิ่งที่ตัวเองถนัดได้มากขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคเองก็มีทางเลือกมากขึ้น และรองรับการเปลี่ยน Network OS โดยไม่เปลี่ยน Hardware ได้ รวมถึงในอนาคต Network OS เหล่านี้ก็จะมีบทบาทในโลกของ Virtualization, Cloud และ Container อีกด้วย
Container แนวทางของ IT Infrastructure ที่ตอบโจทย์ DevOps
ทางด้านของ Container ที่เป็นเทคโนโลยีคู่กับวงการ IT มาช้านาน แต่เพิ่งมีการตื่นตัวอย่างรวดเร็วด้วยการมาของ Docker เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การจำลอง Environment สำหรับให้ Application ต่างๆ สามารถทำงานได้นั้นสามารถทำได้อย่างสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยผู้พัฒนา Software ก็สามารถพัฒนาบน Container ที่มี Environment แบบเดียวกับระบบ Producition ได้ ทำให้การ Deliver Software หรือ Feature ใดๆ นั้นน้อยลง รวมถึงรองรับสถาปัตยกรรมแบบ Microservice สำหรับรองรับการ Scale ระบบได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่มุมของผู้ดูแลระบบเองก็สามารถสร้าง Container จำนวนมากเพื่อรองรับ Load ของผู้ใช้งานได้อย่างง่ายดายโดยที่มี Overhead ของ Resource ที่น้อยกว่าระบบ Virtualization เป็นอย่างมาก รวมถึงความผิดพลาดในการกำหนดค่าต่างๆ สำหรับ Environment ที่ต้องการใช้งานก็จะมีความผิดพลาดน้อยลงด้วยแนวคิดของ Infrastructure-as-Code อีกด้วย
Hyperconvergence ระบบ Data Center Infrastructure สำเร็จรูปด้วย Software
หลังจากที่พิสูจน์ตัวเองมาเป็นระยะเวลา 5 ปี แนวคิดของการทำ Hyperconvergence ก็กลายเป็นที่ยอมรับของตลาดจนมาถึงจุดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยการยุบรวมชั้นของ Server, Storage, Network และบางครั้งก็ถึงขั้นยุบรวมชั้นของ Security เข้ามาให้กลายเป็นระบบ Virtualization ทั้งหมดด้วย Software และติดตั้งลงบน Physical Server ใดๆ ก็ทำให้ Server นั้นๆ สามารถทำหน้าที่แทนทั้ง Server, Storage, Network รวมถึง Security ได้ทั้งหมดในตัวเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิดของ Hyperconvergence เองก็ยังเปิดให้ Server ที่ติดตั้ง Software เหล่านี้สามารถเพิ่มขยายแบบ Scale-out ได้ง่ายๆ ด้วยการเพิ่ม Server เข้ามาในระบบ และทำการติดตั้ง Software ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เชื่อมต่อเครือข่ายเข้าถึงกัน ระบบ Hyperconvergence เหล่านี้ก็จะผสานระบบเข้าเป็นหนึ่งเดียว พร้อมให้บริหารจัดการได้จากศูนย์กลาง และรองรับประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นตามประสิทธิภาพของ Server ที่เพิ่มเติมเข้าไปได้ทันที เป็นสถาปัตยกรรมที่ Cloud Data Center ขนาดใหญ่มักจะใช้กัน
ทั้งสามเทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ดูแลระบบ IT ในองค์กรไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป และต้องเริ่มทำการศึกษาเพื่อปรับตัวให้สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ในอนาคตอีกด้วยครับ
จริงๆ แล้วทั้งสามเทคโนโลยีนี้ให้เล่าแยกแต่ละตัวก็เล่าได้ยาวมากเลยแหละครับ แต่เพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวจนเกินไป และไม่เกินจากจุดประสงค์แค่แนะนำให้พอรู้จักเบื้องต้น ทางทีมงาน TechTalkThai ก็ขอจบบทความนี้เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.networkworld.com/article/3020668/virtualization/containers-hyperconvergence-and-disaggregation-are-hot.html#tk.rss_all