Intel ชี้ ถอดรหัส AI เพื่อความเท่าเทียม ต้องอาศัย “เทคโนโลยีการประมวลผลที่แตกต่าง” และ “ระบบนิเวศแบบเปิด” [Guest Post]

ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีมาแรงในตอนนี้ หากมองย้อนกลับไป ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (Artificial Intelligence) ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ มนุษย์ทำงานคู่กับเอไอมานานหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะใช้ช่วยลดปัญหากระบวนการผลิตสินค้าและบริการ หรือช่วยเราถ่ายรูปสวย ๆ ผ่านสมาร์ตโฟน เอไอได้เข้ามาปฏิวัติพลิกโฉมเกือบทุกอุตสาหกรรมและช่วยให้การใช้ชีวิตของเราเป็นเรื่องง่ายดายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทความนี้จัดทำโดย ไซมอน ชาน กรรมการผู้จัดการกลุ่มการขาย การตลาด และการสื่อสาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ บริษัท อินเทล คอร์เปอเรชั่น

ไซมอน ชาน กรรมการผู้จัดการกลุ่มการขาย การตลาด และการสื่อสาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ บริษัท อินเทล คอร์เปอเรชั่น

ในประเทศไทยเอง โรงพยาบาลหลายแห่งได้นำเอาเอไอมาใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรค เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่นำเอไอมาช่วยรังสีแพทย์ในการคัดกรอง วิเคราะห์ และวินิจฉัย พร้อมระบุตำแหน่งภาวะความผิดปกติของปอดและมะเร็งเต้านมระยะแรกเริ่ม ขณะที่โรงพยาบาลกรุงเทพก็ได้พัฒนาเทคโนโลยี Inspectra CXR เอไอผู้ช่วยแพทย์อัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์ความผิดปกติจากภาพรังสีทรวงอกได้อย่างละเอียด รวดเร็ว และแม่นยำ เทคโนโลยีเอไอดังกล่าวช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถตรวจพบโรคร้ายได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ 

หลายเดือนที่ผ่านมา เอไอกลายเป็นประเด็นความสนใจที่ทั่วโลกต่างจับตามอง เพราะการมาถึงของ ChatGPT แอปพลิเคชัน Generative AI หรือนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์เอไอแบบรู้สร้าง ที่ทำงานผ่านการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและสร้างผลลัพธ์เป็นเนื้อหาข้อมูลที่ใกล้เคียงความสามารถมนุษย์ สิ่งที่ ChatGPT ทำทำให้คนเข้าใจศักยภาพของเอไอมากขึ้น และยิ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานเอไอได้อย่างง่ายดาย

พัฒนาการใหม่ของเอไอทำให้องค์กรธุรกิจหลายแห่งมองหาหนทางที่จะยกระดับศักยภาพเอไอของตน ปัจจุบัน เอไอกลายเป็นเทคโนโลยีที่มากกว่าระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Assistant) มันยังช่วยเราทำงานในเชิงลึกและซับซ้อนมากขึ้นและทำงานได้หลากหลาย ตั้งแต่ออกแบบโค้ดให้เว็บไซต์ ไปจนถึงสร้างสรรค์ผลงานดนตรีและศิลปะใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ ความซับซ้อนของพลังการประมวลผลที่เอไอต้องใช้ในการทำงานให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเทคโนโลยีเอดจ์และคลาวด์ ล้วนต้องการพลังการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นเมื่อเอไอเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตผู้คนและการทำงานมากขึ้น

 

AI ที่เท่าเทียม เริ่มต้นจากพลังประมวลผล

โมเดลหรือรูปแบบเอไอในอนาคตจะต้องทำการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลมากกว่าในปัจจุบันเพื่อสามารถให้คำตอบที่เป็นประโยชน์ตามที่องค์กรธุรกิจต้องการได้ หากจะเริ่มต้นอย่างถูกต้อง องค์กรต่าง ๆ ต้องเริ่มจากปัญหาความท้าทายที่พวกเขากำลังหาทางแก้หรือเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง และนำเอไอมาช่วยแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าด้วยพลังการประมวลผลและซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมเพื่อทำงานให้สำเร็จ

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเอไอสามารถประมวลผลได้แบบเรียลไทม์และให้ข้อมูลที่แม่นยำ ดังนั้นพลังการประมวลผลจึงสำคัญเพื่อช่วยให้เราเทรนโมเดลเอไอในอนาคตได้ด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เอไอตัดสินใจหรือคาดการณ์ สร้างรูปและจดจำเสียง รวมถึงขยายระบบของเอไอ ลองจินตนาการว่าพลังการประมวลผลเป็นเสมือน “สมอง” ที่ช่วยให้เครื่องจักรเข้าใจเหตุและผลและตัดสินใจได้ว่าควรทำงานอย่างไรต่อไป

จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องเพิ่มประสิทธิภาพของ “สมอง” เหล่านี้ เพราะเอไอและระบบอัลกอริธึ่มพัฒนาก้าวหน้าไปทุกวัน มันจะไม่ได้ช่วยแค่เร่งความสามารถของเอไอให้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เอไอมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย เพิ่มขนาด และมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วย เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริงและทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเอไอได้อย่างเท่าเทียม เทคโนโลยีการประมวลผลที่ต่างกัน (Heterogeneous Compute) และระบบนิเวศแบบเปิด (Open Ecosystem) คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เอไอประมวลผลได้ในรูปแบบและสถานการณ์ที่หลากหลาย

เอไอต้องการพลังการประมวลผลที่ต่างกัน เพื่อศักยภาพที่ดีขึ้น คุ้มค่า และประหยัดพลังงาน

ในอนาคต ผู้ใช้จะยิ่งคาดหวังให้เอไอทำงานได้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่านี่จะเท่ากับว่าองค์กรธุรกิจจะต้องการพลังการประมวลผลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่เราไม่สามารถแก้ปัญหาอย่างง่าย ๆ ด้วยแค่การเพิ่มซีพียู จีพียู หรือสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเอไอ

เพื่อเสริมการขยายประสิทธิภาพของเอไอ องค์กรต้องคำนึงถึง 2 ปัจจัยสำคัญ ประการแรกคือการรู้ประเภทเวิร์กโหลดเอไอที่องค์กรต้องการ เช่น จะนำมาใช้ช่วยแชทบอตเอไอเวลาติดต่อสื่อสารกับลูกค้า หรือเป็น generative AI ขนาดใหญ่เหมือน ChatGPT เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ ๆ หรือเป็นโซลูชันจดจำรูปภาพเพื่อตรวจสอบหาข้อผิดพลาด ฯลฯ ส่วนประการที่สองคือ ค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องคำนึงถึงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงโซลูชันเอไอดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย

หลายคนอาจเข้าใจว่าเวิร์กโหลดเอไอทุกประเภทต้องการจีพียู แต่ความเป็นจริงแล้ว มีวิธีการอื่นที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เอไอ นั่นคือการใช้ซีพียูสำหรับการใช้งานทั่วไป ซึ่งเป็นซีพียูตัวเดียวกับที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ดาต้าเซ็นเตอร์หลาย ๆ ตัวในปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่นเวิร์กโหลดสำหรับการเทรนโมเดลภาษาอย่าง GPT-3 การเทรนโมเดลเอไอด้านภาษาขนาดใหญ่เช่นนี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงหลายล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโมเดลเดียว แต่องค์กรส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปถึงขนาดนั้นและอาจต้องการเทรนโมเดลเอไอหลายตัวที่มีขนาดเล็กกว่านั้นมากแทน อันที่จริง องค์กรส่วนใหญ่ต้องการแค่โมเดลที่มีการเทรนมาก่อนแล้วและนำโมเดลเหล่านั้นมาปรับจูนให้เข้ากับชุดข้อมูลที่มีขนาดเล็กกว่าและมีการเรียบเรียงไว้แล้ว และการปรับจูนนี้สามารถสำเร็จได้แค่ในไม่กี่นาทีด้วยซอฟต์แวร์เอไอของอินเทล รวมถึงซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ได้มาตรฐานในอุตสาหกรรม ซึ่งทำงานอยู่ในซีพียูทั่วไป

ในกรณีที่จำเป็นต้องเทรนโมเดลภาษาขนาดใหญ่จริง ๆ ชิปเร่งความเร็วเอไออย่าง Intel Gaudi2 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจนอกเหนือจากจีพียูทั่วไป คุ้มค่าสำหรับลูกค้าทั้งในแง่ค่าใช้จ่ายสำหรับเซิร์ฟเวอร์และระบบ ด้วยศักยภาพการทำงานที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานของ MLPerf ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกในการวัดผลประสิทธิภาพในการเทรนเอไอ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่มีการพัฒนาและกำลังจะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้ ทำให้ Intel Gaudi2 ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของราคาและประสิทธิภาพ เมื่อเทียบกับจีพียูอย่าง H100 ของ Nvidia 

ดังนั้น การช่วยองค์กรรับมือกับความท้าทายด้านเอไอจะต้องใช้วิธีการที่ครอบคลุมการปรับใช้ยูสเคส เวิร์กโหลด และความต้องการพลังการประมวลผลที่หลากหลาย นั่นแปลว่าแอปพลิเคชันเอไอที่แตกต่างกันก็ต้องการเครื่องมือในการประมวลผลที่แตกต่างกันที่สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งานโดยเฉพาะด้วยความแม่นยำสูงและประกอบด้วยสถาปัตยกรรมและฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันเพื่อรันซีพียู จีพียู ไปจนถึงชิป FPGA (Field Programmable Gate Arrays) หรือชิปเร่งความเร็วอื่น ๆ ได้ 

พูดโดยสรุป คือไม่มีวิธีการหรือเครื่องมือเพียงหนึ่งเดียวที่จะตอบโจทย์ทุกพลังการประมวลผล และปัจจุบันมันยิ่งสำคัญมากที่แพลตฟอร์มการประมวลผลจะต้องมีความยืดหยุ่นและปรับขยายขนาดได้ เพื่อรองรับความต้องการของเวิร์กโหลดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อช่วยให้เอไอใช้งานได้จริง

 

ระบบนิเวศแบบเปิดก็สำคัญ

นอกจากชิป เอไอยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ด้วย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเอไอได้อย่างเท่าเทียมกัน เราต้องมีระบบนิเวศแบบเปิด ซึ่งซอฟต์แวร์เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพและขยายขนาดการทำงานของเอไอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากปราศจากกรอบการทำงานและชุดเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่หลากหลายและเหมาะสมเพื่อเสริมฮาร์ดแวร์ที่รันเวิร์กโหลดของเอไอแล้ว เอไอก็คงไม่สามารถทำงานตอบโจทย์เป้าหมายขององค์กรธุรกิจได้อย่างตรงจุด

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องการวิธีการแบบ “สร้างเพียงครั้งเดียวแต่ใช้งานได้ทุกที่” ที่มาพร้อมกับโซลูชันที่ยืดหยุ่น เปิดกว้าง และประหยัดพลังงาน อีกทั้งตอบสนองเอไอได้ทุกรูปแบบ หนึ่งในเครื่องมือดังกล่าวได้แก่ ชุดเครื่องมือ Intel OneAPI ที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถเขียนโค้ดหนึ่งครั้งแต่สามารถนำไปใช้บนแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย

เครื่องมือเช่นนี้ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเวิร์กโหลดเอไอของพวกเขา พร้อมลดค่าใช้จ่ายและลดความยุ่งยากซับซ้อนในการบริหารจัดการแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ พร้อมกันได้ การที่เอไอทำงานบนระบบนิเวศแบบเปิดจะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงเอไอได้สะดวกง่ายดายมากขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่าย ขจัดอุปสรรคที่ฉุดรั้งการพัฒนา และช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สร้างและใช้งานเอไอได้จากทุกที่แต่ยังคงให้ความสำคัญกับพลังการประมวลผล ค่าใช้จ่าย และประสิทธิภาพการใช้งาน ด้วยการใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เหมาะกับการทำงานในแต่ละแบบ

 

ลงทุนกับอนาคตของเอไอ

เราต่างเห็นตรงกันว่า ปัจจุบันเอไอกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง และช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ที่องค์กรธุรกิจทั้งหลายไม่เคยนึกถึงมาก่อน ไม่ว่าจะใช้เอไอบนคลาวด์หรือสร้างโซลูชันแบบติดตั้งใช้งานเองในพื้นที่ องค์กรเหล่านี้ควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือความต้องการพลังการประมวลผลที่จะทวีคูณยิ่งขึ้นในอนาคต

และเอไอจำเป็นต้องมีเครื่องมือพื้นฐานที่รองรับโครงสร้างโมเดลเอไอที่หลากหลาย รวมถึงการพัฒนาและการใช้งานโมเดลเหล่านี้ในแพลตฟอร์มการประมวลผลที่แตกต่าง ท่ามกลางการพัฒนาเอไอที่ไม่หยุดยั้ง

เพื่อใช้ประโยชน์จากเอไอให้มีประสิทธิภาพที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรธุรกิจต่าง ๆ จะลงทุนในการเพิ่มศักยภาพระบบของตนอย่างไร ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การมีเทคโนโลยีการประมวลผลที่แตกต่างและระบบนิเวศแบบเปิดจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนนั้นคุ้มค่าและช่วยให้องค์กรเติบโตได้เป็นอย่างดีในอนาคต เพื่อตอบรับและก้าวทันพัฒนาการใหม่ ๆ ของเอไอในอีกหลายปีข้างหน้า

About chatchai

Tech Writer แห่ง TechTalk Thai ที่สนใจในทุกนวัตกรรมและเทคโนโลยี

Check Also

สรุปข่าวเด่น Enterprise IT ประจำสัปดาห์ [7 – 11 ต.ค.2024]

จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับงาน Cloud Forum Bangkok 2024 ณ BITEC BURI ในช่วงวันที่ 10 ต.ค.2024 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คนที่มารับฟังเซสชันบรรยายอันเข้มข้นและเยี่ยมชมบูธนิทรรศการ …

CISA เตือนช่องโหว่ Fortinet RCE เริ่มถูกใช้โจมตีแล้ว

CISA เปิดเผยว่าช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ร้ายแรงใน FortiOS กำลังถูกใช้โจมตีแล้ว โดยหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องแพตช์ภายใน 3 สัปดาห์