โดย โมฮาน วีลูว์ รองประธาน ด้านเทคโนโลยี ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ เอฟไฟว์ เน็ตเวิร์กส์
ภูมิภาคเอเชียในวันนี้กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยแอปพลิเคชัน ปริมาณแอปพลิเคชันจำนวนมากเปรียบเหมือนกับก้อนวัตถุขนาดใหญ่ที่เพิ่มขนาดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีพลังขับเคลื่อนมหาศาลแบบไม่อาจหยุดยั้งได้ มวลพลังแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ก้อนนี้มีอำนาจพอที่จะนำมาปรับใช้ในทางสร้างสรรค์ หรือเอามาก่อหวอดทำลายความสัมพันธ์ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้ แอปพลิเคชันที่ล้มเหลวต่อการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้สูญเสียฐานลูกค้า ไปอย่างน้อยหนึ่งในสามจากที่มีอยู่
ในวันนี้ เรามาถึงจุดที่ควรจะตระหนักถึงศักยภาพของกลยุทธดิจิทัลกันได้แล้ว เอฟไฟว์ (F5) พบว่า ปัจจุบัน องค์กรแต่ละแห่งในภูมิภาคนี้มีการใช้แอปพลิเคชันจำนวนถึง 200 แอปต่อหนึ่งองค์กร เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในส่วนงานต่างๆ ตั้งแต่การผลิตในองค์กร การติดตั้งระบบไอที และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน
ตัวเลขนี้คงพอจะสื่อได้ว่า ระบบดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทในทุกองค์กรจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในการทำงานไปเสียแล้ว ปัจจัยพื้นฐานที่พนักงานต้องการคือการให้แอปทำงานแบบอัตโนมัติ และประมวลผลการทำงานที่รักษาระดับความเที่ยงตรงและแม่นยำในทุกส่วนงานต่างๆ ขององค์กรทุกเวลา ทุกที่และในทุกอุปกรณ์
แม้ว่าภูมิภาคนี้จะมีความหลากหลายและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างซึ่งทำให้ระดับของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ หรือประเทศกำลังพัฒนาอย่างเมียนมาร์จะค่อนข้างมีบรรทัดฐานที่เหลื่อมล้ำกันอยู่ แต่มีเทคโนโลยีหนึ่งเดียวในตอนนี้ที่แพร่หลายในเอเชียที่ดูจะเสมอภาคกัน นั่นก็คือเรื่อง “โมบาย” นั่นเอง
การเติบโตที่แข็งแกร่งของโมบาย สอดคล้องกันทุกประเทศในทั่วภูมิภาค อีกทั้งยังมีแรงขับเคลื่อนในด้านความต้องการแอปพลิเคชันสอดรับพอที่จะสร้างระดับการแข่งขันที่เท่าเทียมกันในธุรกิจที่เพิ่มการใช้แอปเป็นศูนย์กลางด้วย
ความต้องการใช้แอปพลิเคชันที่สูงขึ้น ทำให้ฝ่ายไอทีต่างต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ด้วยการติดตั้งแอปให้เร็วขึ้น ปรับโครงสร้างพื้นฐานให้ซับซ้อนขึ้น ลดความผิดพลาด และเพิ่มแนวทางการโจมตีสำหรับผู้ไม่ประสงค์ดี
สิ่งที่ธุรกิจต้องการในปัจจุบันก็คือ โซลูชั่นที่ทำให้พวกเขาสามารถติดตั้ง เพิ่มขยาย และจัดการการเติบโตของจำนวนแอปพลิเคชันที่เพิ่มอย่างรวดเร็วได้อย่างปลอดภัย และไม่ลืมที่จะสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อระหว่างแอปพลิเคชันและผู้ใช้งานให้เกิดความประทับใจอย่างสูงสุดด้วย
อุตสาหกรรมคลาวด์รอนแรมมายาวนานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานในช่วงเวลาที่องค์กรต่างๆ ยังเกิดความไม่มั่นใจในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงานจนไม่กล้าที่จะโอนย้ายแม้แต่แอปพลิเคชันพื้นฐานไปยังคลาวด์
ปัจจุบัน มีการกระตุ้นให้ใช้คลาวด์เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น จากประธานเจ้าหน้าที่ระบบสารสนเทศในองค์กรที่ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ที่จะย้ายแอปพลิเคชันธุรกิจที่สำคัญ เช่น ระบบบริหารทรัพยากรองค์กร หรืออีอาร์พี และงานด้านบริหารงานบุคคล ไปบนคลาวด์
คลาวด์ได้เปลี่ยนมุมมองทางธุรกิจที่ใช้และจัดการแอปพลิเคชันให้เกิดความคล่องตัวสูงขึ้น แปรเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นแบบอัตโนมัติ และเพิ่มอัตราเร่งให้ทะยานสู่ตลาดในแนวทางที่โครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ ข้อดีหลักๆ รวมถึง :
ความยืดหยุ่น: คลาวด์ทำให้องค์กรเกิดความยืดหยุ่นสูงขึ้น เพราะสามารถปรับความจุของคลาวด์ได้ตามความต้องการ ทำให้ธุรกิจเพิ่มความคล่องตัวและมีขีดความสามารถที่สูงขึ้น
ทำงานแบบเคลื่อนที่ได้: แอปพลิเคชันพร้อมใช้ที่สามารถตอบสนองความต้องการของพนักงานได้ในทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตก็เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ที่มีไลฟ์สไตล์ในการใช้งานโมบายที่สูงขึ้น
ลดค่าใช้จ่าย: คลาวด์ทำให้องค์กรลดต้นทุนการดำเนินการเพราะไม่ต้องซื้ออุปกรณ์และดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ ลดค่าใช้จ่ายฮาร์ดแวร์ สิ่งอำนวยความสะดวก และค่าดำเนินการอื่นๆ รวมถึงยังเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านไอทีอีกด้วย
ย้ายไปคลาว์ดีหรือไม่ ?
อย่างไรเสีย ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียก็ยังคงตัดความกังวลออกไปไม่ได้มากนัก เพราะผลสำรวจที่จัดทำโดย เอฟไฟว์ เน็ตเวิร์กส์ พบว่า ตลาดเอเชียแปซิฟิก ยังคงล้าหลังกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของโลกในเรื่องของการใช้คลาวด์สำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน และงานปฏิบัติการ
ผลการศึกษายังเผยให้เห็นอีกว่า ธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ยังคงลังเลที่จะใช้คลาวด์ในส่วนที่สำคัญรวมถึงส่วนการผลิตด้วย แต่ใช้คลาวด์เฉพาะในส่วนแอปพลิเคชันที่ไม่สำคัญ ความเสี่ยงต่ำ เช่น อีเมล ระบบสนับสนุนการทำงานร่วมงาน และเวบไซต์
ปัญหาและความท้าทายในการย้ายโอนข้อมูลสู่คลาวด์ อาทิ การกำหนดเวิร์คโหลดที่เหมาะสมกับคลาวด์ , การขาดความสามารถในการควบคุม หรือมองเห็นได้ชัดเจน, การส่งมอบแอปพลิเคชัน และขีดความสามารถในด้านความปลอดภัยของผู้ให้บริการคลาวด์ รวมถึงการเขียนแอปพลิเคชั่นที่มีอยู่ใหม่ทั้งหมดได้จริงซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของผู้ให้บริการคลาวด์ หรือความสามารถเนรมิตทุกอย่างให้หยุดชั่วคราวได้ แม้แต่ในธุรกิจที่มีระดับดิจิทัลสูงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การบูรณาการระหว่างผู้ให้บริการคลาวด์และการติดตั้งซอฟต์แวร์บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (on premises) จะเป็นปัจจัยหลัก ที่ให้น้ำหนักเป็นอย่างมากต่อการใช้บริการ
ในการตอบโจทย์ความท้าทายนี้ องค์กรต้องมีบริการส่งมอบแอปพลิเคชันที่ล้ำสมัย และสามารถใช้โปรแกรมได้คลอบคลุมทั่วถึงทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีอยู่และผู้ให้บริการคลาวด์ด้วย รวมถึงความยืดหยุ่นทางธุรกิจที่จะเอื้อให้การโอนย้ายสู่คลาวด์ได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ
ธุรกิจทั้งหลายล้วนแต่ต้องการแพลทฟอร์มหนึ่งเดียวที่ทำให้การส่งมอบและจัดการบริการแอปพลิเคชัน เป็นไปอย่างสม่ำเสมอคงที่ในทุกสภาพแวดล้อมบนแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่และรวมถึงแอปพลิเคชั่นใหม่บนคลาวด์ด้วย
หลายๆ องค์กรไม่สามารถเพิกเฉยต่อจำนวนการใช้คลาวด์ที่สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สามารถทำได้ ก็คือ มั่นใจได้ว่าเส้นทางที่จะเลือกไปคลาวด์นั้น มีความปลอดภัยและประสบความสำเร็จ โดยมั่นใจว่าบริการส่งมอบแอปพลิเคชันที่ได้เลือกนั้น มีสามส่วนหลักที่ต้องพิจารณา สำหรับทุกๆ แอปพลิเคชันของโมเดลการติดตั้ง :
1) ความพร้อมใช้ – โดยเฉพาะเวิร์คโหลดที่เป็นแกนหลักสำคัญ ธุรกิจต้องมั่นใจว่าได้รับบริการส่งมอบแอปพลิเคชันอย่างสมบูรณ์ และเป็นแอปที่มีความทนทาน พร้อมใช้งานได้จริงในทุกสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
2) ประสิทธิภาพ – ด้วยความจำเป็นเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นทำให้การทำงานต้องรวดเร็วและฉับไว ไม่ว่าจะเป็นคอนเท้นท์ออนดีมานด์ไปยังอุปกรณ์ที่หลากหลาย หรือปรับการส่งมอบแอปให้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุดในโมเดลของการติดตั้งใช้งาน เพื่อเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ให้รู้สึกพึงพอใจ
3) ความปลอดภัย –จำนวนองค์กรที่ถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ต่างๆ ที่เพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผลักดันให้เกิดความต้องการในด้านความปลอดภัย เนื่องจากบริการแอปหลักจำเป็นที่จะต้องมั่นใจได้ว่าแอปและธุรกิจของเขาจะอยู่รอดอย่างปลอดภัยได้ในปัจจุบัน
จินตนาการถึงผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน และไอทีกำลังมาบรรจบในทิศทางเดียวกันเพื่อร่วมมือกันพัฒนาและนำเสนอแอปพลิเคชันบนคลาวด์ โดยเพิ่มขยายสายธุรกิจจากลูกค้าหลายร้อยรายเบ่งบานมาเป็นหลายล้านคน ด้วยระดับความน่าเชื่อถือที่ไม่ต่างกัน ทั้งในแง่ความปลอดภัย และการควบคุมการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมๆ ทำให้มีองค์กรอีกจำนวนไม่น้อยที่เริ่มหันเข้าสู่หนทางแห่งคลาวด์ซึ่งแตกต่างไปตามความต้องการของแต่ละองค์กร
ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการชั้นนำของการให้บริการจัดส่งแอปพลิเคชัน F5 จะไม่ยอมประนีประนอมหรือรีรออีกต่อไปในการก่อร่างสร้างอนาคตให้เติบโตตั้งแต่วันนี้ เพื่อเพิ่มขุมพลังให้กับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลโดยปราศจากอุปสรรคปัญหาและความท้าทายใดๆ
###