Microsoft เปิดทดสอบฟีเจอร์ Autopatch หวังลดภาระการอัปเดตให้องค์กร

Autopatch เป็นแนวทางใหม่จาก Microsoft ที่เพิ่งประกาศเปิดทดลองให้ผู้สนใจได้ลองเข้ามาลองก่อนได้ ก่อนกำหนดใช้จริง 22 กรกฏาคม

ไอเดียของ Autopatch ก็คือบริการที่ช่วยอัปเดตเครื่อง Windows 10 และ 11 ครอบคลุมตั้งแต่ฟีเจอร์ ไดร์ฟเวอร์ เฟิร์มแวร์ และ Microsoft 365 Apps อย่างไรก็ดีคาดว่าจะเปิดใช้กับผู้ที่มี License ของ Windows 10 และ 11 Enterprise E3 หรือสูงกว่า สำหรับขั้นตอนการเข้าร่วมรอบทดสอบทำได้ดังนี้

  • เข้า Endpoint Manager ด้วยสิทธิ์ระดับ Global Administrator ค้นหาฟีเจอร์ Autopatch ได้ที่เมนู Tenant Administrator หากไม่พบแสดงว่าไม่มีสิทธิ์เพราะไม่เข้าเงื่อนไขศึกษาเพิ่มเติมที่ https://aka.ms/autopatchprerequisites
  • ใช้บราวน์เซอร์ในโหมด InPrivate หรือ Incognito เพื่อรับโค้ดรอบทดลอง
  • เริ่มการประเมินเตรียมความพร้อม เพิ่มที่อยู่ติดต่อสำหรับแอดมิน เพิ่มอุปกรณ์

กลไกภายใต้อุปกรณ์จะถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ จำนวนขั้นต่ำสำหรับทดลอง (Test ring) และขยายเป็น 1% (First Ring) 9%(fast ring) และที่เหลือ 90% (broad ring) ตามลำดับ ไอเดียก็คือการทดลองไล่ตามลำดับไป รวมถึงตรวจสอบประสิทธิภาพว่าก่อนและหลังการอัปเดตประสิทธิภาพเป็นอย่างไร โดย Autopatch มีฟีเจอร์การหยุดและถอนการอัปเดตได้ และทั้งหมดนี้ก็คือความพยายามใหม่ที่ Microsoft หวังลดงานขององค์กร ผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://techcommunity.microsoft.com/t5/windows-it-pro-blog/windows-autopatch-faq/ba-p/3272081 หรือชมวีดีโอ

ที่มา : https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-windows-autopatch-now-available-for-public-preview/

About nattakon

จบการศึกษา ปริญญาตรีและโท สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ KMITL เคยทำงานด้าน Engineer/Presale ดูแลผลิตภัณฑ์ด้าน Network Security และ Public Cloud ในประเทศ ปัจจุบันเป็นนักเขียน Full-time ที่ TechTalkThai

Check Also

Google Cloud เพิ่ม BigQuery datasets บน Marketplace แล้ว

Google Cloud ประกาศเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงชุดข้อมูล BigQuery datasets ผ่าน Google Cloud Marketplace ด้วยการผสานการทำงานร่วมกับ BigQuery Analytics Hub เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลสำหรับองค์กร

Goldman Sachs คาดการณ์การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าภายในปี 2030 เหตุจาก AI

การแข่งขันด้าน AI ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดย Goldman Sachs คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 55 GW เป็น 122 GW ภายในปี 2030