การเปลี่ยนระบบ Virtualization ได้กลายเป็นวาระสำคัญของฝ่าย IT ในธุรกิจองค์กรทั่วโลกในเวลานี้ เพื่อให้ธุรกิจยังคงสามารถมีระบบ IT Infrastructure ที่ยืดหยุ่นและมั่นคงเพื่อรองรับ Workload ที่หลากหลายได้ในระยะยาว
Red Hat OpenShift Virtualization ได้กลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ธุรกิจองค์กรจำนวนมากเลือกใช้งาน เนื่องจากวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่สถาปัตยกรรมแบบ Cloud-native และการรองรับงานทางด้าน AI ที่ Red Hat OpenShift สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการบริหารจัดการ Container และ VM ได้อย่างคุ้มค่าและครบวงจร เรียกได้ว่าสามารถทดแทนระบบ Virtualization ดั้งเดิมที่มีอยู่ และต่อยอดสู่สถาปัตยกรรมแห่งอนาคตได้ในหนึ่งเดียว
ในบทความนี้เราจะสรุปถึง 5 เหตุผลที่ธุรกิจองค์กรควรเปลี่ยนมาใช้ระบบ Virtualization ด้วย Red Hat OpenShift Virtualization เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับทุกท่านกันครับ
1. บริหารจัดการ Container และ Virtual Machine ได้ในประสบการณ์เดียว ต่อยอดสู่ Hybrid Multicloud ได้ทันทีที่ต้องการ
Red Hat OpenShift Virtualization นี้เป็นส่วนหนึ่งของโซลูชัน Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นผู้นำทางด้าน Platform สำหรับการบริหารจัดการ Container ในระดับธุรกิจองค์กร จึงสามารถทำการบริหารจัดการได้ทั้งในส่วนของ Container, Virtual Machine และ Serverless ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับความสามารถในการจัดการ VM ระดับองค์กรนั้น Red Hat OpenShift Virtualization ก็มีมาให้ใช้งานอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการทำ Live Migration เพื่อย้าย Virtual Machine ตามต้องการ, การทำ Backup ภายในระบบเพื่อสำรองข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการทำ Disaster Recovery (DR)
ข้อดีของแนวทางนี้คือการบริหารจัดการทรัพยากร IT ภายใน Data Center ขององค์กรจะเป็นไปได้อย่างง่ายดายในแบบรวมศูนย์ และสามารถทำ Transition เปลี่ยนจากระบบ Traditional IT Infrastructure ขึ้นมาสู่ Cloud-Native Infrastructure ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น รวมถึงยังต่อยอดสู่การทำ Hybrid Multicloud และ Edge Computing ได้ด้วยประสบการณ์เดียวกันต่อเนื่องตลอดทั้งการเปลี่ยนแปลง
2. ครอบคลุมสิทธิ์การใช้ Red Hat Enterprise Linux VM ได้ไม่จำกัดจำนวน และจัดการ Windows VM ได้ด้วยความสามารถที่ครบถ้วน
ข้อดีที่เป็นจุดเด่นของการใช้ Red Hat OpenShift Virtualization ก็คือการใช้ Red Hat Enterprise Linux VM ได้ไม่จำกัดจำนวน และไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทำให้ในทุก VM ที่เป็น RHEL สามารถใช้งานได้เต็มทุกความสามารถเหมือนมี Subscription อย่างครบถ้วน ช่วยให้การอัปเดต Patch ใหม่ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ต่อเนื่องตลอดการใช้งาน นับ Subscription รวมไปใช้ RHEL ที่ทำหน้าที่เป็น Host แล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่ทราบก็คือ Red Hat OpenShift Virtualization สามารถรองรับการใช้งาน VM ทหี่เป็น Microsoft Windows Server ได้ด้วย ทำให้การบริหารจัดการ VM ทั้งในส่วนของ Linux และ Windows เกิดขึ้นร่วมกับ Container ได้ในระบบเดียว ดังนั้นองค์กรใดที่มีแผนจะย้ายระบบจากการใช้ Virtualization อื่นๆ มายัง Red Hat OpenShift Virtualization ก็สามารถใช้งานได้จบในระบบเดียวเลย
3. ย้าย VM ออกจากระบบเดิมได้ง่าย ด้วย Migration Toolkit for Virtualization
สำหรับธุรกิจองค์กรที่มีแผนการในการเปลี่ยนระบบ Virtualization ภายในองค์กร Red Hat OpenShift Virtualization มีเครื่องมือที่ชื่อว่า Migration Toolkits สำหรับช่วยย้ายระบบได้อย่างง่ายดาย โดยรองรับการย้าย VM จากระบบดังต่อไปนี้
- VMware vSphere
- Red Hat Virtualization (RHV)
- OpenStack
- Open Virtual Appliances (OVAs) ที่ถูกสร้างจาก VMware vSphere
- Remote OpenShift Virtualization clusters
โดยนอกเหนือจากการย้ายระบบจาก Virtualization อื่นมาสู่ Red Hat OpenShift Virtualization ได้แล้ว ทาง Red Hat ก็ยังรองรับการย้าย VM หรือ Container ขึ้นสู่บริการ Public Cloud ชั้นนำได้อีกด้วย ช่วยตอบโจทย์กลยุทธ์ Hybrid Multicloud ได้เป็นอย่างดี
4. สร้าง CI/CD Pipeline ผสมผสาน Container และ VM ได้ในหนึ่งเดียว
โดยมากแล้วธุรกิจที่มีความสนใจจะใช้งาน Red Hat OpenShift Virtualization นั้น มักจะมีวิสัยทัศน์ด้านการก้าวสู่ภาพของ Cloud-Native และการวางระบบ CI/CD Pipeline เพื่อรองรับการทำงานของ Software Developer ในยุคปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งภายในโซลูชัน Red Hat OpenShift ก็สามารถรองรับความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยเครื่องมือ Open Source Software ชั้นนำมากมายที่พร้อมให้นำมาใช้วางระบบที่มีความเป็นมาตรฐานสากลได้
ด้วยโซลูชันการบริหารจัดการ Container อย่างครบวงจรร่วมกับ Kubernetes ทั้งในส่วนของ Compute, Storage, Network และ Security ไปจนถึงการทำ Automation อีกทั้งการรองรับความสามารถในการทำงานแบบ Serverless โดยวางระบบสำหรับการทำ Software Development และ Deployment ได้ด้วย Red Hat OpenShift Pipelines และ Red Hat OpenShift GitOps ทำให้การย้ายระบบมาสู่ Red Hat OpenShift Virtualization ในครั้งนี้ กลายเป็นการ Modernize ระบบในภาพรวมทั้งในส่วนของ IT Infrastructure และ Software Development Process ไปพร้อมกัน
5. เลือกใช้ Hardware ได้อย่างอิสระ วางสถาปัตยกรรมระบบได้ยืดหยุ่น ทั้งในส่วนของ Compute และ Storage
สุดท้าย Red Hat OpenShift Virtualization เป็นโซลูชัน Virtualization ที่มีความเหนือชั้นกว่าโซลูชันอื่นๆ ทั้งในกลุ่ม Virtualization หรือ HCI ในแง่ของการรองรับการทำงานร่วมกับ Hardware และสถาปัตยกรรมของระบบได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบแบบดั้งเดิมที่ใช้ Server จำนวนมากเชื่อมต่อกับ Storage Appliance ส่วนกลาง, การใช้ Server จำนวนมากมาทำงานร่วมกันเป็น HCI หรือแม้แต่การใช้ระบบ Software-Defined Storage เพื่อทำการแยกส่วน Compute และ Storage ออกจากกันก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ธุรกิจที่ตัดสินใจย้ายมาใช้ Red Hat OpenShift Virtualization จึงสามารถใช้งาน Hardware ที่มีอยู่เดิมได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด ต่างจากการตัดสินใจย้ายไปใช้ HCI ที่อาจใช้ Server หรือ Storage เดิมไม่ได้ ในขณะที่ Red Hat OpenShift Virtualization ก็ยังมีทางเลือกให้ธุรกิจเพิ่มขยายในแบบ HCI หรือ Software-Defined Storage ในภายหลังได้อย่างยืดหยุ่น
สนใจโซลูชัน Red Hat OpenShift Virtualization ติดต่อทีมงาน Red Hat ได้ทันที